ถึงเราจะ 'ต่างชาติ' แต่ก็อย่าลืมนับฉันด้วยคน

ในสังคมไทยปัจจุบันมีการถกเถียงเรื่อง "ประชากรข้ามชาติ" ใช้สิทธิรักษาฟรีในระบบสุขภาพ เพื่อสะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำ และขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดี จึงมีการจัดงาน “Voice of the Voiceless: รวมพลังหุ้นส่วนสุขภาวะ ก้าวไปด้วยกันอย่างเท่าเทียม”
หากเราเอาความเป็น "มนุษย์" ตั้งเป็นแกน สุขภาพคือหนึ่งองค์ประกอบที่ "สำคัญ" และ "จำเป็น" ต่อมนุษย์ "ทุกคน" เพราะนั่นคือหนึ่งสิทธิพื้นฐานที่จะทำให้เราทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและลดความเหลื่อมล้ำ
ประเด็นเรื่อง "ประชากรข้ามชาติ" โดยเฉพาะ กลุ่มแรงงานข้ามชาติ ยังคงเป็นหัวข้อที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงในสังคมไทยอยู่เสมอ โดยเฉพาะในประเด็นที่หลายคนกำลังมองว่า แรงงานข้ามชาติกำลังเบียดเบียนเงินภาษีคนไทย หรือ ใช้สิทธิรักษาฟรี
ทำให้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย มีการเปิดพื้นที่ในงานเวทีประวัติศาสตร์ของคนชายขอบสังคม "Voice of the Voiceless : รวมพลังหุ้นส่วนสุขภาวะ ก้าวไปด้วยกันอย่างเท่าเทียม" ให้กับอีก "เสียงเล็กๆ ของสังคม" นั่นคือ "แรงงานข้ามชาติ" ที่สะท้อนถึงข้อเท็จจริงประเด็นที่เกี่ยวข้องประชากรข้ามชาติปัจจุบัน รวมถึงมุมมองที่คลาดเคลื่อนในสังคมไทย ที่ส่งผลต่อความท้าทายในการขับเคลื่อนเรื่อง "สิทธิ" พื้นฐานของพวกเขา ผ่านเวทีย่อยในหัวข้อ : "แล้วใครจะทำงาน (3) ดี ถ้าไม่มีประชากรข้ามชาติ?"
ทำไมคนไทย (ควร) โอบอุ้มแรงงานข้ามชาติ?
มีใครปฏิเสธได้บ้างว่า แรงงานข้ามชาติ ไม่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในภาคแรงงานบางอาชีพที่คนไทยไม่ค่อยเต็มใจทำ ในสังคมงานยังมีงานที่เรียกว่า "3D" ยาก สกปรก และอันตราย ไม่ว่าจะเป็นผืนดินทางการเกษตร ไซต์ก่อสร้างที่สูงระฟ้า หรือแม้แต่ภาคบริการที่คอยรองรับชีวิตประจำวัน งานเหล่านี้อาจต้องย้อนถามตัวเองกันว่า หากไม่มีพวกเขา แล้วเราจะยังอยากทำกันไหม? แล้วใครจะทำ?
อย่างที่รู้ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากอัตราการเกิดที่ลดลงตั้งแต่ปี 2564 และประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้แรงงานข้ามชาติเป็นสิ่งจำเป็น
วันนี้หากมองความต้องการแรงงานของประเทศไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภาคส่วนสำคัญที่พึ่งพา แรงงานข้ามชาติ อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นภาคการก่อสร้าง คือมากกว่า 1.4 ล้านคน ภาคการผลิตและการบริการ เป็นอีกภาคส่วนที่แรงงานข้ามชาติเติบโตอย่างรวดเร็ว และเกษตรกรรมที่มีมากกว่า 400,000 คน จะเห็นได้ว่าภายใต้การเดินหน้าการพัฒนาประเทศไทย เราล้วนมีแรงหนุนเสริมของแรงงานต่างชาติ ที่คนไทยตั้งแง่และเดียดฉันท์นี้แหละ เป็นฐานรากสำคัญของเศรษฐกิจประเทศแทบทุกภาคส่วน เหตุผลง่ายๆ หากไม่มีแรงงานข้ามชาติ ประเทศไทยอาจเผชิญกับอะไรได้บ้าง เบื้องต้นก็คือ ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น และความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงอย่างแน่นอน ซึ่ง "แรงงาน" แม้จะชาติไทยหรือชาติใด ต่างก็มีความเป็นมนุษย์ไม่ต่างกัน และเราไม่สามารถแยกที่จะมองเป็นส่วนๆ ได้ เพราะทุกเรื่องต่างเชื่อมโยงกัน ไม่ว่าจะเป็นการมีรายได้ สุขภาพ ไปจนถึงการมีการศึกษาที่ดีเพื่อเป็นหนทางที่ทำให้มีรายได้ที่ดีขึ้น อนาคตที่ดีขึ้น ล้วนเป็นความปรารถนาที่ทุกคนอยากมีอยากได้
แต่เพราะแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานมีเป้าหมายเรื่องรายได้อันน้อยนิด ถ้าเขามีรายได้ไม่เพียงพอ อาจทำให้ลืมสนใจเรื่องสุขภาพ หรือมองเป็นเรื่องรอง ดังนั้น วันนี้ในฐานะของมนุษย์หนึ่งคนหนึ่งชีวิตเท่ากัน เรื่องสิทธิพื้นฐานในการดูแลสุขภาพ จึงเป็นอีกสิ่งที่เราทุกคนไม่ควรมองข้าม
เอาดีๆ "ทัศนคติ" หรือ "อคติ" ?
ด่านแรกก่อนจะไปถึงคำถามที่ว่า แล้วเราจะให้ใครจะทำงานดี ถ้าไม่มี ประชากรข้ามชาติ วันนี้เราอาจต้องมา ฟื้นฝอยกันในเรื่องทัศนคติของคนไทยที่มีต่อแรงงานกลุ่มนี้ก่อน
ผศ.ดร.อดิศร จันทรสุข มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ผลวิจัยอย่างโครงการสร้างสังคม DEE สะท้อนว่า ทัศนคติเป็นปัญหาหรืออุปสรรคสำคัญในการขับเคลื่อนกำหนดนโยบายเพื่อใครสักคนแน่นอน โดยจากการสำรวจภายใต้โครงการสร้างสังคม DEE โดยสำรวจทัศนคติคนในสังคมที่มีกับประชากร 5 กลุ่ม ได้แก่ ผู้สูงวัย ผู้พิการ เพศหลากหลาย ประชากรข้ามชาติ และคนไร้บ้าน พบว่า กลุ่มข้ามชาติถูกมองด้วยอคติแบบเหมารวม รองจากกลุ่มผู้สูงอายุ และคนไร้บ้านที่ถูกมองว่าเป็นคนไร้ประโยชน์ต้องถูกกำจัด แม้ประชากรข้ามชาติจะมีประโยชน์ต่อสังคมไทยในแง่ผู้รับจ้างใช้แรงงาน หากก็ยังเผชิญทัศนคติแบบแบ่งเขาแบ่งเรา หรือการแบ่งพรรคพวกหรือฝักฝ่ายไม่น้อย โดยหากโฟกัสเฉพาะประชากรข้ามชาติ และแรงงานข้ามชาติ จากผลการศึกษาพบว่ากลุ่มประชากรข้ามชาติกลับเผชิญกับอคติเชิงนโยบายสูงที่สุด ซึ่งสะท้อนความคิดแบบชาตินิยมที่มองว่า เขาคือเขา เราคือเรา มีแนวโน้มที่จะไม่ต้องการให้ประชากรข้ามชาติมีสิทธิ์ซื้อบ้านและตั้งถิ่นฐานถาวรในไทยอย่างมาก โดย 65% หรือประมาณ 80% ของคนไทยในผลสำรวจไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้เลย
ความเชื่อที่ฝังรากลึก
ผลสำรวจทัศนคติดังกล่าว มีประเด็นในเรื่องของการจ้างงานและให้เช่าบ้าน ประชากรข้ามชาติมักถูกเลือกปฏิบัติ แม้คนส่วนใหญ่จะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก หากมีประชากรข้ามชาติมาเป็นเจ้านาย หัวหน้า หรืออยู่ในบ้านเดียวกัน โดยพบว่านายจ้างไม่น้อยมีความลังเลไม่น้อยที่จะจ้างแรงงานข้ามชาติ รวมถึงการปล่อยให้เช่าบ้าน ทั้งที่ในความเป็นจริงเราปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคที่สังคมไทยกำลังก้าวสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ และขาดแรงงานวัยหนุ่มสาวอยู่นี้ เราต้องการกำลังหยาดเหงื่อแรงกายของประชากรข้ามชาติวัยแรงงานเพื่อทดแทนความขาดแคลน
ผศ.ดร.อดิศร กล่าวเสริมว่า ตัวเลขที่ว่านี้อาจจะสูงกว่าที่แสดงในผลสำรวจ เพราะหลายคนไม่กล้าตอบตามความรู้สึกที่แท้จริง สื่อและเรื่องเล่าที่ได้ยินมามีส่วนสำคัญในการสร้างภาพเหมารวมและอคติเหล่านี้ เช่น การเดินทางไปมหาชัยแล้วเชื่อว่าคนที่พบไม่ใช่คนไทยแต่เป็นแรงงานพม่า หรือความคิดที่ว่าประชากรข้ามชาติทำให้ประเทศไทยสิ้นเปลืองทรัพยากร
"ภาพรวมของอคติยังมองว่า ประชากรข้ามชาติเป็นเพียงแรงงาน มากกว่ามนุษย์ แม้จะยกย่องในความอดทน ประหยัด และขยัน แต่ในขณะเดียวกันก็มองว่าเป็นภาระ ภัยคุกคาม และชอบใช้ความรุนแรง แรงงานพม่ามักถูกเหมารวมว่าเป็นคนขยันและอดทน ส่วนเวียดนามถูกมองว่าสู้คน"
รื้อปมแท้จริงปัญหาแรงงานข้ามชาติ
เมื่อม่านทัศนคติอาจทำให้บดบังความจริง ก็คงต้องสืบสาวต่อว่า แล้วมายาคติเหล่านี้เกิดได้อย่างไร?
โดยเฉพาะคำถามของสังคมล่าสุด เรื่องรัฐแบกรับค่าใช้จ่ายสุขภาพสำหรับประชากรข้ามชาติจริงหรือ?
มีการพูดคุยของ สุรสักย์ ธไนศวรรยางกูร สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข เป็นผู้ร่วมตอบคำถามนี้ด้วยข้อมูลและวิพากษ์ถึงโอกาส ความท้าทาย และข้อเสนอต่อรัฐบาลไทย และทิศทางสร้างหลักประกันสุขภาพสำหรับประชากรข้ามชาติ โดยได้ชี้ชัดว่าอคติเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ความรู้สึกส่วนบุคคล แต่ยังหยั่งรากลึกไปถึงระดับนโยบายว่า ผลพวงจากอคติทั้งหลาย กำลังกลายเป็นกำแพงที่มองไม่เห็นในเรื่องการกีดกัดสิทธิด้านสุขภาพ ที่วันนี้ประชากรแรงงานข้ามชาติเหล่านี้กำลังถูกตีตราว่าเป็นภาระอันหนักอึ้ง ซึ่งค่าใช้จ่ายแฝงของระบบที่ขาดการเชื่อมโยงอาจคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลในระบบโรงพยาบาลของรัฐ โดยมีสาเหตุจากแรงงานข้ามชาติจำนวนมากเข้าไม่ถึงระบบประกันสุขภาพอย่างเป็นทางการ ในปี พ.ศ. 2566 มีรายงานว่าโรงพยาบาลบางแห่งต้องแบกรับค่ารักษาพยาบาลจากผู้ป่วยที่ไม่มีสัญชาติไทยที่ไม่สามารถเรียกเก็บได้สูงถึง 241 ล้านบาท และขาดทุนไปถึง 113 ล้านบาทในบางส่วน
"อีกปัญหาที่เกิดขึ้นคือ แม้จะมีตัวเลขผู้ประกันตนในกองทุนประกันสังคมควรอยู่ที่ 2.6 ล้านคน แต่ปัจจุบันกลับมีผู้ที่อยู่ในระบบจริงเพียง 1.2 ล้านคนเท่านั้น นี่คือช่องว่างที่เกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งในเรื่องที่นายจ้างไม่นำส่งข้อมูล และความซับซ้อนของกฎหมายประกันสังคมเอง"
ฤาปัญหา อาจเกิดที่ระบบ?
เสถียร ทันพรม มูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย ร่วมถ่ายทอดมุมมองแรงงานข้ามชาติเองที่มีกับระบบสาธารณสุขในปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นว่า ระบบเต็มไปด้วยความซับซ้อนและช่องว่าง แรงงานข้ามชาติจำนวนมากราวหนึ่งในสามไม่ทราบหรือไม่แน่ใจในสิทธิการคุ้มครองสุขภาพจากรัฐ ยิ่งไปกว่านั้นประมาณ 30% ของแรงงานไม่เข้าใจขั้นตอนการซื้อประกันสุขภาพ ค่าใช้จ่ายยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยหนึ่งในสามของแรงงานเห็นว่าเบี้ยประกันสุขภาพรายปีเป็นภาระ แม้ว่าค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยที่ประเมินไว้จะอยู่ที่ประมาณ 2,180 บาท ค่าใช้จ่ายนี้อาจเพิ่มขึ้นอีกหากมีผู้ติดตามรวมอยู่ด้วย
ข้อมูลจริง เพิ่มตระหนักรู้สิทธิและความเป็นมนุษย์
ความเห็นจาก ภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. และผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะเผยมุมมอง โดยกล่าวว่า สสส. เล็งเห็นว่า แรงงานข้ามชาติ เป็นประชากรอีกกลุ่มเปราะบางทางสังคม และต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติ และสิทธิในการเข้าถึงบริการสุขภาพ ไม่ต่างกับกลุ่มคนที่เปราะบางอื่นในสังคมไทย
"เพราะเราเชื่อว่าไม่ควรทำให้สถานการณ์ทุกอย่างเลวร้ายลง และอย่างน้อยที่สุดทุกคนควรได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง" ภรณี กล่าว
โดยสรุปแล้ว ทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าการทำความเข้าใจอคติที่มีต่อประชากรข้ามชาติ และการเปิดเผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ เป็นก้าวสำคัญในการสร้างสังคมที่เปิดกว้าง ยุติธรรม และอยู่ร่วมกันได้อย่างเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นคนสัญชาติใดก็ตาม เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนต่างก็เป็น "มนุษย์" ที่สมควรได้รับความเท่าเทียมและศักดิ์ศรี







