หลากหลายชีวิตทางเพศ LGBTQ+ ไทย แสงแห่งความหวังใต้ตัวเลข สู่สังคมที่เท่าเทียม

ในเดือนแห่งการเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศนี้ แสงแห่งความหวังใหม่ได้ถูกจุดประกายขึ้น ทุกภาคส่วนร่วมผลักดันนโยบายและแลกเปลี่ยนความรู้ สำหรับเส้นทางของ LGBTQ+ ในประเทศไทย เพื่อสร้างสังคมไทยที่ปลอดภัยและเท่าเทียมสำหรับทุกอัตลักษณ์ทางเพศ
สังคมไทยวันนี้กำลังสร้างปรากฏการณ์แห่งความหลากหลายทางเพศมากขึ้นเรื่อยๆ มีการเปิดพื้นที่ให้ "ความหลากหลาย" ได้ปรากฏตัวตนอย่างแท้จริง โดยไม่ถูกตีตราว่าเป็นความ "แตกต่าง" หรือ "คนนอกคอก" อีกต่อไป ทว่าเรื่องราวนี้ยังห่างไกลจากคำว่า "Happy Ending" เพราะนี่เป็นเพียง "ก้าวแรก" ของการเดินทางอันยาวไกล
กระแสทั่วโลกกำลังก้าวข้ามข้อจำกัดทางเพศตามขนบเดิม ๆ ในอดีต ปัจจุบัน อัตลักษณ์ทางเพศ ได้ขยายนิยามออกไปอย่างกว้างขวาง มีคำศัพท์มากมายที่ใช้จำกัดความความหลากหลายนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึง "สิทธิและเสียง" ของกลุ่มเพศหลากหลายในประเทศไทย หลายประเด็นก็ยังคงล้าหลังหรือหยุดนิ่งอยู่กับที่
การมี "ที่ยืน" หรือ "จุดยืน" ที่มั่นคง เพื่อยืนหยัด มีอำนาจในการต่อรอง หรือลุกขึ้นมาเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตนเองและเพื่อนพ้องที่มีความหลากหลายนั้น เป็นทางออกยั่งยืน
หากแต่อุปสรรคสำคัญคือ การจำนนต่อคำถามที่ว่า "จำนวนที่แท้จริงของประชากร LGBTQ+ ในประเทศไทย" ว่ามีมากน้อยเพียงใด และเพียงพอที่จะขยายขอบเขตด้าน คุณภาพชีวิต สิทธิ และสวัสดิการ ได้หรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาครัฐหรือผู้กำหนดนโยบายถูกทักท้วงและทวงถามมาโดยตลอด
ด้วยเหตุนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงได้ผนึกกำลังกับ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดทำ โครงการวิจัย "การคาดประมาณขนาดประชากร LGBTQ+ ในประเทศไทย" ซึ่งนับเป็นการการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย
ภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. ได้ฉายภาพอันทรงพลังว่า กลุ่มประชากรหลากหลายทางเพศคือพลังขับเคลื่อนสำคัญ ที่ช่วยหลอมรวมและผลักดันการยอมรับความหลากหลายในมิติวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสังคม ทว่าเบื้องหลังศักยภาพอันล้นเหลือนี้ พวกเขากลับต้องเผชิญกับ ความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจน ทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม ไปจนถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่าง "การถูกเลือกปฏิบัติ"
งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นถึงปรากฏการณ์ที่คนจำนวนหนึ่ง ไม่ต้องการมีเพศวิถีแบบชายหญิง ซึ่งส่งผลให้คนเพศหลากหลายต้องเผชิญกับแรงกดดันและการเลือกปฏิบัติ จึงเกิดข้อเสนอให้มีการศึกษาเชิงลึกถึงกลไกเชิงอำนาจและโครงสร้างที่กีดกัน คนที่มีเพศวิถีไม่เป็นไปตามขนบ รวมถึงการวิเคราะห์ความทับซ้อนของปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกกลุ่ม
ตัวเลขที่บอกเล่าเรื่องราว
การสำรวจครั้งนี้ เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2567 โดยเป็นการสำรวจผ่านการสอบถามประชาชนในจังหวัดราชบุรีทั้งหมด 2,466 ครัวเรือน นอกจากนี้ยังมีการเก็บข้อมูลจากเยาวชนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย อาชีวศึกษา และมหาวิทยาลัย รวมทั้งสิ้น 1,106 คน และกลุ่มตัวอย่างแบบออนไลน์อีก 9,588 คน โดยสัมภาษณ์ในสามประเด็นหลัก ได้แก่ เพศกำเนิด อัตลักษณ์ทางเพศ และรสนิยมทางเพศ
รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้รับผิดชอบโครงการสำรวจครั้งนี้ ให้ข้อมูลน่าสนใจว่า ผลสำรวจเผยให้เห็นบางสิ่งที่เกินความคาดหมาย นั่นคือ ผู้หญิงมีอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายกว่าผู้ชาย โดยมีสัดส่วนเป็นไบเซ็กชวลสูงกว่า
นอกจากนี้ ผลสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง 2,426 คน ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป พบว่า 7.4% ระบุว่าตนเองเป็น LGBTQ+ และในกลุ่มเยาวชนช่วงอายุ 15-25 ปี ตัวเลขนี้พุ่งสูงถึง 29.6% ซึ่งสูงกว่ากลุ่มตัวอย่างทั้งหมดถึง 4 เท่า อีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคือประเด็น "ความลื่นไหลทางเพศ" ในกลุ่มเยาวชนที่มีแนวโน้มสูง
เมื่อถามถึงประเด็นการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ยินยอมพร้อมใจ พบว่า เคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ยินยอมในอัตราที่สูงกว่าคนที่มีวิถีทางเพศแบบผู้ชายและผู้หญิง โดยสัดส่วนผู้ชายที่เป็นเพศหลากหลายในกลุ่มเยาวชนเคยมีประสบการณ์นี้สูงถึง 1 ใน 5 ซึ่งจากการศึกษาประชากรตัวอย่าง 2 กลุ่มนี้ ชี้ชัดถึงปรากฏการณ์ที่คนจำนวนหนึ่งไม่ต้องการมีเพศวิถีแบบชายหญิง ส่งผลให้คนเพศหลากหลายเผชิญแรงกดดันในรูปแบบต่าง ๆ และถูกเลือกปฏิบัติ จึงเกิดเป็นข้อเสนอให้ทำการศึกษาวิจัยเชิงลึกถึงกลไกเชิงอำนาจและโครงสร้างที่กีดกันคนที่มีเพศวิถีไม่เป็นไปตามขนบ และวิเคราะห์ความทับซ้อนของปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกกลุ่ม
ถอดมุมมอง ถอดรหัสผลวิจัย
ความน่าสนใจของงานวิจัยครั้งนี้ คือไม่เพียงแต่ให้ข้อมูลเชิงปริมาณ หากแต่ยังสะท้อนเรื่องราวของกลุ่มคนที่มีเพศวิถีหลากหลายได้อย่างลึกซึ้ง
มุมมองจากผู้เคยมีประสบการณ์ด้านทำวิจัยเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ อย่าง รศ.ดร.บุษราวรรณ ธีระวิชิตชัยนันท์ จาก National University of Singapore กล่าวว่า โครงการสำรวจครั้งนี้โดดเด่นด้วยความพยายามในการ แยกแยะระหว่าง Sex Assigned at Birth (เพศที่ถูกกำหนดตั้งแต่เกิด) และ Gender Identity (อัตลักษณ์ทางเพศ) ซึ่งสะท้อนความเข้าใจในความซับซ้อนของอัตลักษณ์ทางเพศที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.บุษราวรรณ ได้ให้คำแนะนำที่ควรปรับปรุงคือ การกำหนดกรอบแนวคิดและการวัด Gender Identity เนื่องจากยังมีข้อจำกัดที่ผู้ตอบแบบสอบถามอาจไม่ทราบหรือไม่สามารถเปิดเผยอัตลักษณ์ของบุคคลในครอบครัวเกี่ยวกับเพศวิถีได้ นอกจากนี้ ผู้ตอบคำถามอาจไม่เข้าใจคำศัพท์ทางวิชาการด้วย การวิจัยในอนาคตจึงควรพิจารณาวิธีการที่ ให้ผู้ตอบแบบสอบถามมีโอกาสมีทางเลือกมากมาย และอาจนำแนวคิดจากงานวิจัยของอเมริกา เช่น ARPT มาปรับใช้ รวมถึงการตั้งข้อสังเกตในการศึกษากลุ่ม Non-binary ที่พบว่ามีความเปราะบางมากกว่ากลุ่ม LGBTQ+ กลุ่มอื่น และในคนรุ่นใหม่ที่มีความหลากหลายสูงมาก ควรมีการวิจัยต่อเพื่อทำซ้ำให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
เพราะกล่องเลือกเพศ ไม่ได้มีแค่ "ชาย-หญิง-LGBT+"
ศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงการศึกษาเรื่อง "Sexual Diversity" ว่ามีมาอย่างยาวนาน โดยในอดีตอาจหมายถึง LGBTQ+ ซึ่งมีมุมมองเคร่งครัดกว่าในปัจจุบัน และมีความเชื่อว่าอัตลักษณ์ทางเพศนั้น Stable หรือตายตัว ซึ่งขัดแย้งกับความเป็นจริงในวันนี้ที่เรื่องความเพศมีความซับซ้อนกว่านิยามเดิมไปมาก ทั้งตัวเลข (สถิติ) และเรื่องราวของผู้ให้สัมภาษณ์ในการสำรวจครั้งนี้ ทำให้เราเห็นข้อเท็จจริงว่าเพศวิถีมีลักษณะเป็นอย่างไร
"งานวิจัยนี้จึงน่าทำให้เราได้เห็นอะไรหลายอย่าง ถึงข้อเท็จจริงที่แตกต่างจากความคิดเดิม และเป็นปัญหาที่ถกเถียงกันมายาวนาน" ศ.ดร.ชลิดาภรณ์ กล่าว
ศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ยังให้เหตุผลว่า ความหลากหลายในเรื่องเพศนั้นมีความซับซ้อนมากเกินกว่าจะนิยามถึงความเป็นตัวเรา หรือ Identify ความเป็นตัวตนที่แท้จริง และหลายครั้งความหลากหลายก็ไม่อาจถูกนิยาม หรือมีบรรทัดฐานเดียวแบบเหมารวมได้ หากแต่ที่ผ่านมา ผู้ที่มีวิถีทางเพศหลากหลายมักถูกคัดกรองและจับใส่กล่องแบบเหมารวม
"เรา identify ตัวเราเป็นอะไร และคนอื่น identify เราเป็นอะไร บางครั้งเราไม่สามารถ express ตัวเราได้ ไม่สามารถแสดงออกมาได้ ซึ่งความจริงมันไม่จำเป็นจะต้องตรงกัน"
นอกจากนี้ ปัญหาดังกล่าวยังส่งผลกับการสื่อสารกับสังคม สิ่งนี้ยังทำให้ผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายสาธารณะ "มีแนวโน้มที่จะกำหนดนโยบายโดยขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้"
อีกจุดที่ ศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ตั้งข้อสังเกตคือ กลุ่มคนที่กล้าที่จะยืนหยัดความเป็นตัวตน และกล้าแสดงออกถึงเพศวิถีของตนเองต่อสังคม ส่วนใหญ่เป็น กลุ่มผู้มีการศึกษา สะท้อนให้เห็นว่า การศึกษาเป็นอาวุธในการสร้างอำนาจต่อรอง เพราะทำให้คนมีความรู้และมีเครื่องมือในการแสดงอัตลักษณ์ทางเพศของตัวเองกับสังคม ที่อาจไม่จำเป็นต้องตรงกับการที่สังคมกำหนดให้ตนเอง
ศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ยังสะท้อนอีกว่า การที่สังคมมีโอกาสเลือกเพศสภาพของตัวเองเพียงแค่สองเพศที่ได้รับตั้งแต่เกิด คือแค่ชายและหญิงยังส่งผลต่อความสามารถและอำนาจต่อรองในสังคม เพราะการที่เราอยู่ในสังคมชายเป็นใหญ่ ทำให้การต่อรองเรื่องเพศเป็นเรื่องยาก
"ความเป็นหญิงเป็นชายที่คลุมเราอยู่ มันส่งผลต่อความสามารถของเราที่จะส่งต่อ สังคมที่ชายยังเป็นใหญ่ ยังส่งผลให้การแสดงออกถึงอัตลักษณ์ทางเพศที่แตกต่างจากขนบก็เป็นไปได้น้อยกว่า"
ศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ยังตั้งข้อสังเกตจากการสำรวจเรื่องตัวเลขที่น่าสนใจคือ มีกลุ่มตัวอย่าง 2.8% ในการสำรวจครั้งนี้ ที่ระบุว่า ไม่เคยและไม่สามารถแสดงออกถึงอัตลักษณ์ทางเพศที่ตนเองต้องการเป็นได้ มองว่าเป็นตัวเลขที่ไม่น้อย และน่าคิดว่าเขาใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไร
อีกประเด็นคือ การเปิดเผยอัตลักษณ์ทางเพศกับใคร พบว่า 45% มีแนวโน้มที่จะเปิดเผยกับคนในครอบครัว ซึ่งเป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน
เรากำลังอยู่ใน "Genderless Society"
ในฐานะสื่อมวลชน ทรรศิกา สมใจ จากสื่อออนไลน์ Spectrum มีความเห็นว่าที่ผ่านมาการขาดข้อมูลที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศเป็น อุปสรรคสำคัญในการทำงาน
ทรรศิกา ยังเสริมประเด็นในเรื่อง "วิถีทางเพศ" ที่ปัจจุบันในพื้นที่สื่อโดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย มองเรื่องเพศมีความเปิดกว้างมากขึ้น และสะท้อนผ่านไลฟ์สไตล์ของสังคม เริ่มมีการใช้คำแปลก ๆ สำหรับเรื่อง Genderless เกิดขึ้นบ่อยมาก
ท้ายสุดทุกฝ่ายเชื่อว่า งานวิจัยนี้เป็นก้าวสำคัญ ในการสร้างฐานข้อมูลที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับประชากร LGBTQ+ ในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย และสร้างระบบสุขภาวะที่สนับสนุนความเท่าเทียมในสังคมไทย อัตลักษณ์เรื่องเพศ ไม่ควรเป็นเพียงแค่สิ่งที่จับต้องไม่ได้ แต่ควรได้รับการยอมรับและส่งเสริมในทุกมิติของสังคม







