เปิดวิธีการที่องค์กรสามารถสร้างระบบการจัดเก็บข้อมูลพร้อมรองรับอนาคตในยุค AI

เปิดวิธีการที่องค์กรสามารถสร้างระบบการจัดเก็บข้อมูลพร้อมรองรับอนาคตในยุค AI

ทุกองค์กรอยากเป็น "Future-proof" หรือองค์กรที่พร้อมรองรับอนาคตและแข็งแกร่งพอที่จะเติบโตท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง แต่ในยุคที่ AI ส่งผลกระทบแทบทุกมิติของธุรกิจ และเทคโนโลยีพัฒนาเร็วกว่าที่เคย คำว่า "พร้อมรองรับอนาคต" สำหรับการจัดเก็บข้อมูลแท้จริงแล้วหมายถึงอะไร?

สำหรับองค์กร คำตอบเริ่มต้นที่การวางรากฐานด้วยระบบจัดเก็บข้อมูลแบบฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) ซึ่งเป็นระบบจัดเก็บข้อมูลดั้งเดิมที่ถูกออกแบบมาสำหรับงานที่มีปริมาณข้อมูลคงที่และคาดการณ์ได้ แต่ปัจจุบัน แอปพลิเคชันด้าน AI ต้องเรียนรู้ใหม่อยู่ตลอดเวลา ทั้งปรับโมเดล เพิ่มขนาดงาน และขยายสเกล ทำให้ระบบจัดเก็บข้อมูลต้องคุ้มค่า ยืดหยุ่นมากกว่าเดิม และทนทานต่อการรองรับข้อมูลในปริมาณมหาศาล การทำให้ระบบจัดเก็บข้อมูล "พร้อมรับอนาคต" จึงหมายถึงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถเติบโตตามปริมาณข้อมูล รับมือกับปริมาณงานที่ไม่อาจคาดเดาได้ และยังคงประสิทธิภาพและความทนทานในระยะยาว พร้อมควบคุมต้นทุนและการใช้พลังงานให้สมเหตุสมผล

การเติบโตของ AI เปลี่ยนเกมไปโดยสิ้นเชิง ภาระงานเปลี่ยนตลอดเวลา และปริมาณข้อมูลก็พุ่งสูงแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่งผลให้โครงสร้างพื้นฐานต้องรองรับการขยายตัวอย่างไร้รอยต่อ เพื่อให้การพัฒนานวัตกรรมเดินหน้าได้ต่อเนื่อง ตามรายงานของ Market Data Forecast ตลาด AI ในเอเชียแปซิฟิกคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยเกือบ 40% ต่อปี (CAGR) และแตะมูลค่า 1.365 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2033

เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง องค์กรในเอเชียแปซิฟิกจำเป็นต้องออกแบบสถาปัตยกรรมระบบจัดเก็บข้อมูลใหม่ให้รองรับอนาคตได้จริง กลยุทธ์จัดเก็บข้อมูลที่ "พร้อมรองรับอนาคต" อย่างแท้จริงต้องยืนอยู่บน 3 เสาหลัก อันได้แก่ ประสิทธิภาพด้านต้นทุนที่รองรับการขยายสเกล ความยืดหยุ่นที่ตอบสนองภาระงานได้อย่างรวดเร็ว และการดำเนินงานที่ยั่งยืน

ประสิทธิภาพด้านต้นทุนที่รองรับการขยายสเกล คือพื้นฐานของฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์

ความต้องการข้อมูลของ AI มีที่ปริมาณมหาศาลและยังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว การจัดการกับข้อมูลไม่เป็นระเบียบที่พุ่งสูงขึ้นจนวัดได้เป็นเพตะไบต์กลายเป็นหนึ่งในความท้าทายใหญ่ที่สุดที่องค์กรต้องเผชิญในปัจจุบัน ตามรายงานของ IDC ในปี 2025 มากกว่า 86% ของข้อมูลองค์กรจะเป็นข้อมูลไม่เป็นระเบียบ และคาดว่าจะเติบโตด้วยอัตรา CAGR 26.4% ในอีกห้าปีข้างหน้า หากไม่มีกลยุทธ์การจัดเก็บข้อมูลที่เหมาะสม ค่าใช้จ่ายอาจพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ องค์กรต่างๆ จึงหันมาใช้การจัดชั้นข้อมูลแบบอัตโนมัติและเชิงกลยุทธ์ โดยฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ทำหน้าที่เป็นเสาหลักด้านเศรษฐศาสตร์ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ยังคงเป็นส่วนสำคัญในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่และคลาวด์ โดยเกือบ 80% ของการจัดเก็บข้อมูลในคลาวด์จะยังคงอยู่บนฮาร์ดไดรฟ์จนถึงปี 2029 อ้างอิงจากข้อมูล IDC ประสิทธิภาพด้านต้นทุน ความน่าเชื่อถือ และการทำงานที่มั่นคงของฮาร์ดไดรฟ์ทำให้ฮาร์ดไดรฟ์เป็นรากฐานของการเติบโตของข้อมูลที่ยั่งยืน ช่วยให้องค์กรสามารถเก็บและวิเคราะห์ชุดข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องลงทุนหรือใช้ค่าใช้จ่ายดำเนินงานเกินจำเป็น

AI ทำให้ข้อมูล "เย็น" กลับมามีคุณค่าอีกครั้ง เปลี่ยนคลังเก็บข้อมูลให้กลายเป็นข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ได้ การจัดเก็บข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์รองรับกระบวนการทำงานของ AI โดยเก็บชุดข้อมูลขนาดใหญ่ให้อยู่ในระดับที่เข้าถึงได้ในต้นทุนที่เหมาะสมสำหรับการฝึกและปรับโมเดลซ้ำ ในขณะที่แฟลชความเร็วสูงจะถูกสงวนไว้สำหรับการประมวลผลเชิงวิเคราะห์และการจัดการเมตาดาต้า (Metadata) สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ยังคงเป็นรากฐานสำคัญของ AI ให้ความสามารถในการขยายตัว ความน่าเชื่อถือ และประสิทธิภาพที่จำเป็นสำหรับงานสมัยใหม่

ความยืดหยุ่นปรับตัวได้: การจัดชั้นข้อมูลที่ขยายตามปริมาณข้อมูล

ในยุค AI ข้อมูลมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เปลี่ยนตำแหน่งระหว่างชั้นร้อน (Hot) ชั้นอุ่น (Warm) และชั้นเย็น (Cold) ขึ้นอยู่กับวิธีและเวลาที่นำไปใช้งาน องค์กรจึงต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถตามทันความไหลลื่นนี้ การจัดเก็บข้อมูลที่ “พร้อมรองรับอนาคต” ต้องรองรับการจัดชั้นข้อมูลแบบอัตโนมัติ สถาปัตยกรรมแบบขยายตัว และการจัดการด้วยซอฟต์แวร์อัจฉริยะ ความสามารถเหล่านี้ช่วยจัดการการเคลื่อนย้ายข้อมูลข้ามชั้นต่างๆ ได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องมีคนเข้าไปจัดการ เพิ่มประสิทธิภาพทั้งด้านต้นทุนและการทำงาน

ในจุดนี้ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ยังคงมีบทบาทสำคัญ พวกมันเป็นรากฐานของ Data Lake หรือศูนย์เก็บข้อมูลขนาดใหญ่ที่จัดเก็บและแปลงข้อมูลทั้งแบบมีโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง ด้วย API แบบเปิด โปรโตคอลการเข้าถึงที่ยืดหยุ่น และความสามารถทำงานร่วมกับสื่อจัดเก็บข้อมูลอื่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์สามารถผสานเข้ากับระบบ AI ได้อย่างราบรื่น

ความยืดหยุ่นยังหมายถึงความทนทาน โครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่บนฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ที่สามารถขยายขึ้นหรือขยายออกเพื่อตอบสนองความต้องการข้อมูลที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องย้ายข้อมูลหรือหยุดทำงานที่มีค่าใช้จ่ายสูง นวัตกรรมอย่าง Energy-Assisted Magnetic Recording (EAMR) และดีไซน์ตัวกระตุ้นคู่ (Dual-Actuator) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้รวดเร็วขึ้น รองรับ Throughput สูงขึ้น และประหยัดพลังงานมากขึ้น ตอบสนองต่อความต้องการแบบเรียลไทม์ของงาน AI

สรุปคือ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ให้รากฐานที่ช่วยให้ข้อมูลรองรับทุกขั้นตอนของการทำงาน AI ตั้งแต่การรับข้อมูล การฝึกและปรับโมเดลซ้ำ ไปจนถึงการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ทำให้องค์กรยังคงคล่องตัวในสภาพแวดล้อมข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

การดำเนินงานอย่างยั่งยืน สร้างความมั่นคงในระยะยาว

AI มีศักยภาพเปลี่ยนแปลงโลกธุรกิจ แต่ก็สร้างค่าใช้จ่ายด้านพลังงานมหาศาล การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่เพียงตัวเดียวอาจใช้พลังงานเทียบเท่ากับที่บ้านหลายร้อยหลังใช้ในหนึ่งปี ตามรายงานของ PwC ความต้องการไฟฟ้าในเอเชียแปซิฟิกคาดว่าจะเพิ่มจากราว 320 TWh ในปี 2024 เป็น 780 TWh ภายในปี 2030 แต่มีเพียงประมาณ 32% เท่านั้นที่จะมาจากพลังงานหมุนเวียน

ความยั่งยืนไม่ใช่คำฮิตในองค์กรอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็นทางธุรกิจ รัฐบาลและองค์กรธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกต่างตระหนักถึงความจริงนี้

  • ไทย กำลังผลักดันให้ทุกภาคส่วนสนับสนุนการพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์สีเขียว (Green Data Centers) เพื่อช่วยให้ธุรกิจในประเทศแข่งขันได้และเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีที่ยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม รัฐบาลยังเปิดโครงการนำร่อง Direct Power Purchase (Direct PPAs) ให้ดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสามารถซื้อพลังงานสะอาดเพื่อตอบเป้าหมายด้านความยั่งยืน
  • ออสเตรเลีย ใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมที่มีอยู่มาก โดยผู้ให้บริการขนาดใหญ่ (hyperscalers) ลงนามในสัญญาซื้อไฟฟ้าขนาดใหญ่ (Power Purchase Agreements) เพื่อทำให้พอร์ตโฟลิโอพลังงานขององค์กรดังกล่าวเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • ญี่ปุ่น ขับเคลื่อนโครงการ Green Transformation (GX) และ Digital Transformation (DX) มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และสนับสนุนการกระจายดาต้าเซ็นเตอร์ไปยังพื้นที่ที่มีพลังงานหมุนเวียนสูง เช่น ฮอกไกโดและคิวชู
  • สิงคโปร์ ใช้เกณฑ์เข้มงวดสำหรับการยื่นขอเปิดดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่ (Data Center Call for Application - DC-CFA) โดยจัดสรรความจุใหม่อย่างจำกัดให้กับผู้ให้บริการที่ตรงตามมาตรฐานด้านประสิทธิภาพพลังงานและแหล่งพลังงานหมุนเวียน พร้อมใช้โจโฮร์ ประเทศมาเลเซีย เป็นศูนย์ฝึก AI ที่มีต้นทุนต่ำกว่า

การจัดเก็บข้อมูลที่ประหยัดพลังงานกลายเป็นความสำคัญในการจัดซื้อฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ความจุสูงโดยเฉพาะ ช่วยให้องค์กรรวมงานต่างๆ เข้าด้วยกัน ลดการใช้พลังงานต่อเทราไบต์โดยรวม ในขณะที่ยังคงรักษาประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือ ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ขนาด 24TB เป็น 32TB เพื่อรองรับการจัดเก็บข้อมูล 2PB สามารถลดจำนวนเซิร์ฟเวอร์ลง 25% ลดการใช้พลังงานต่อเทราไบต์ 20% และลดค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานและการบำรุงรักษา

สถาปัตยกรรมการจัดเก็บข้อมูลเชิงกลยุทธ์ที่ใช้ประโยชน์จากเศรษฐศาสตร์ของ ฮาร์ดไดรฟ์ผสานกับเทคนิค Deduplication และ Compression ช่วยให้องค์กรขยายการใช้งาน AI ได้อย่างรับผิดชอบ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและสนับสนุนความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อม ผลลัพธ์ คือระบบจัดเก็บข้อมูลที่สมดุลทั้งด้านต้นทุน ประสิทธิภาพ และความยั่งยืน ซึ่งเป็นนิยามแท้จริงของการเติบโตที่พร้อมรองรับอนาคต

สูตรลับของการจัดเก็บข้อมูลที่พร้อมรองรับอนาคต

การสร้างระบบจัดเก็บข้อมูลที่พร้อมรองรับอนาคตไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเร็วเพียงอย่างเดียว แต่ต้องใช้แนวทางแบบองค์รวมที่ผสานความคุ้มค่าเมื่อขยายขนาด ความยืดหยุ่น และการดำเนินงานอย่างยั่งยืน เสาหลักแต่ละด้านสนับสนุนซึ่งกันและกัน การจัดการที่ยั่งยืนช่วยให้ข้อมูลเติบโตได้อย่างคุ้มค่าและขยายตัวได้ตามต้องการ ความยืดหยุ่นปรับตัวได้ช่วยให้ระบบจัดเก็บตอบสนองต่องาน AI ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้อย่างชาญฉลาด และการดำเนินงานอย่างยั่งยืนทำให้การเติบโตนั้นเป็นไปได้ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและการเงิน

หัวใจสำคัญของแนวทางนี้คือ ฮาร์ดไดรฟ์ที่ให้ความน่าเชื่อถือ ต้นทุนคุ้มค่า และประสิทธิภาพที่จำเป็นสำหรับรองรับ AI ในระดับมหาศาล ด้วยการรวมองค์ประกอบเหล่านี้ องค์กรสามารถสร้างสถาปัตยกรรมการจัดเก็บข้อมูลที่ทนทาน คล่องตัว และพร้อมสำหรับอนาคต สร้างรากฐานที่รองรับทั้งโครงการ AI ในปัจจุบันและนวัตกรรมในอนาคต การมองว่าการจัดเก็บข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์ช่วยให้องค์กรปลดล็อกศักยภาพเต็มรูปแบบของ AI โดยไม่ถูกภาระด้านการดำเนินงานครอบงำ และเวลาในการสร้างรากฐานที่พร้อมรองรับอนาคตได้เริ่มขึ้นแล้วตอนนี้

อ้างอิง:

  1. Market Data Forecast, Asia Pacific Artificial Intelligence (AI) Market Size Overview, 2024-2033. Report, 2025.   
  2. IDC, Worldwide Global DataSphere Structured and Unstructured Data Forecast, 2025–2029. Doc #US52800025, IDC, 2025. 
  3. IDC, Worldwide Global StorageSphere Forecast, 2025–2029. Doc #US53561425, IDC, 2025. 
  4. Western Digital, Data Center Hard Drives  
  5. Western Digital, Preparing for 30TB and Beyond-How Dual Actuators Can Help Make High-Capacity, High-Performance Hard Drives Possible. Blog, 2023.   
  6. PwC, Powering possibility: Closing the clean energy gap for Asia Pacific data centres. Report, 2025  
  7. Mandalapartners, Empowering Australia's Digital Future. Report, 2024. 
  8. Trade Policy and Strategy Office (TPSO), The Office of the National Economic and Social Development Board (ONESDB) points out that Green Data Centers create investment opportunities with digital technology and sustainable environment. Press release, 2024. 
  9. Energy Policy and Planning Office (EPPO), Resolution of the National Energy Policy Committee Meeting. Policy Document, 2024.
  10. Cabinet Secretariat, The situation surrounding GX and future initiatives: Policy, 2025
  11. Ministry of Economy, Trade and Industry, Green growth strategy for carbon neutrality by 2050: Policy, 2025.
  12. Agency for Natural Resources and Energy, Section 2 Energy and industrial policies based on DX and GX. Whitepaper, 2025. 
  13. IMDA, Driving a Green Digital Future, Singapore’s Green Data Centre Roadmap, Report, 2024
  14. Energy Market Authority, Singapore Energy Lecture by Minister-in-charge of Science and Energy & Technology Dr Tan See Leng. Speech, 2025