'BJC' ชูความยั่งยืน ผ่านแนวคิดไม่ทิ้งใครไว้ด้านหลัง-รีไซเคิลขวดแก้ว

กลุ่มบีเจซี BJC เปิดตัวความยั่งยืน ชูแนวคิดไม่ทิ้งใครไว้ด้านหลัง และนวัตกรรมขวดแก้วเปลี่ยนโลกในงาน "GCNT Expo 2025"
บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเจซี (BJC) หนึ่งในสมาชิกของสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) จัดแสดงบูทนวัตกรรมด้านความยั่งยืนที่ครอบคลุมทั้ง 5 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจ บรรจุภัณฑ์ อุปโภคบริโภค เวชภัณฑ์และเทคนิค ค้าปลีกสมัยใหม่ และธุรกิจอื่นๆ ในงาน GCNT Expo 2025 Forward SDGs Faster Together รวมพลังเร่งสร้างโลกที่ยั่งยืน ที่ True Digital Park ระหว่างวันที่ 29-31 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา
ไฮไลต์สำคัญของการจัดแสดง คือการสะท้อนถึงการผสานแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้ากับการดำเนินงานในห่วงโซ่อุปทานอย่างครบวงจร โดยเฉพาะนวัตกรรมด้านการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์แก้ว นอกจากนี้ BJC ยังเน้น ความยั่งยืน ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ขนมและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด โดยมีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ในด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ BJC ให้ความสำคัญกับหลักการส่งเสริมความหลากหลาย (Diversity) ภายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ วัย เชื้อชาติ หรือความแตกต่างทางความคิด เพื่อให้ทุกคนสามารถเติบโต อย่างเท่าเทียมในสภาพแวดล้อมที่มีความปลอดภัยและเป็นธรรม
ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หัวใจการขับเคลื่อนธุรกิจ
ภายในงาน ผู้บริหารของกลุ่มบีเจซี ยังได้ขึ้นเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนแนวคิดเพื่อพัฒนาโลกให้ยั่งยืน โดย ฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวคิดและการดำเนินงานของ BJC ในเรื่องการเปลี่ยนแปลง ที่มุ่งเน้นการสร้าง ความเท่าเทียม และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกคน (Inclusive Transformation) หรือแนวคิดไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เป็นหัวใจของ การขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ในหัวข้อ The Private Sector Role in Inclusive Transformation
ฐาปณี กล่าวว่า BJC เป็นองค์กรที่มีสายธุรกิจหลากหลายตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ (Diversified Portfolio) ดังนั้น องค์กรจึงจะต้องเปิดรับความหลากหลายอย่างมาก โดยเห็นว่าแนวคิดไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังเป็นการลงทุน ที่มีคุณค่า ช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดได้ทั้งในระยะกลางและระยะยาว
“องค์กรที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังจะทำให้องค์กรใหญ่มีความอบอุ่นเหมือนเป็นครอบครัว ที่ทำงานได้อย่างมืออาชีพ มีความเห็นพ้องต้องกัน และการกำกับดูแลที่ดี” ฐาปณี กล่าวปิด
กลยุทธ์และค่านิยม 3 ประการของ BJC ที่ใช้ขับเคลื่อนแนวคิดไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ได้แก่
- Better Living (คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น) เน้นการตอบแทน สิ่งแวดล้อม นวัตกรรมและการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าในภาคการผลิต
- Joint Success (เติบโตไปด้วยกัน) เป็นการดูแลผลิตภัณฑ์และช่องทางจำหน่าย ให้มีคุณภาพ และปลอดภัย
- Caring for Community (ใส่ใจชุมชน) ถือเป็นแกนหลักของการดำเนินงาน เพราะการมีสถานที่ทำงาน ที่มีความสุข และการดูแลเพื่อนพนักงานให้แสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ จะนำไปสู่ความสำเร็จของชุมชน และสังคมโดยรวม
ทั้งนี้ เพื่อให้องค์กรเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังจะต้องทำงานประสานกันทั้งภายในและภายนอก องค์กร โดยจะต้องเริ่มต้นจากผู้บริหารระดับสูง ที่ต้องมีการเชื่อมโยงแนวคิด และกำหนดนโยบายที่ครอบคลุม และเท่าเทียม ซึ่ง BJC มีสวัสดิการและนโยบายที่เท่าเทียมแก่ทุกคน โดยมีจำนวนพนักงานหญิงสูงกว่า หรือเทียบเท่า 50% ของพนักงานแต่ละระดับ พร้อมสนับสนุนผู้สูงอายุและคนพิการ ด้วยโครงการ “พี่ใหญ่ไฟแรง” มีผู้สูงอายุที่ยังทำงานอยู่กว่า 260 ท่าน และเปิดรับผู้เกษียณจากภายนอก เข้ามาทำงานได้ รวมถึงจ้างงานคนพิการมากกว่าที่กฎหมายกำหนด และส่งเสริมให้เติบโตในองค์กรจนเป็นระดับผู้จัดการ
BJC ยังมีนโยบายการลาที่ครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นลาสมรส 5 วัน โดยไม่จำกัดเพศ และการลาเพื่อยืนยันเพศสภาพ 30 วัน อีกทั้งยังให้สวัสดิการการลาคลอดแก่ Primary Caregiver ได้ถึง 180 วัน และSecondary Caregiver 15 วัน พร้อมใช้คำว่า “คุณ” เป็นคำนำหน้าพนักงานทุกคน และมีห้องน้ำสำหรับทุกเพศ ในคลังสินค้า โรงงาน และสำนักงาน ส่วนที่สาขาจะเป็นห้องน้ำรวมสำหรับผู้พิการเพื่อความปลอดภัย
ฉะนั้น ผลที่เกิดขึ้นคืออัตราการมีส่วนร่วมของพนักงานดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น พนักงานอายุน้อยกว่า 30 ปีเพิ่มจาก 70% เป็น 83% และผู้บริหารระดับต้น จาก 69% เป็น 72% และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาอัตราการลาออกของพนักงานลดลงจาก 45% เหลือ 27% ทำให้องค์กรได้รับรางวัล Best Places to Work in Thailand 2024 รวมถึงดูแลและให้คำแนะนำด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์และคุณภาพเกษตรกรกว่า 1,236 ราย พร้อมมีทีมงานที่คอยให้คำปรึกษาและสนับสนุนตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยให้ SME เติบโตอย่างมีศักยภาพพร้อมมีโครงการโดนใจให้ความรู้และคำแนะนำด้านระบบการจัดการสต๊อก และโปรโมชั่นให้แก่ร้านค้าปลีกขนาดเล็กหรือแบบดั้งเดิม ซึ่งโครงการนี้ช่วยให้ ร้านดังกล่าวมียอดขายเพิ่มขึ้น 50-100%
AI ตัวช่วยความยั่งยืน
นงนุช ปโยนิธิการ รองผู้จัดการใหญ่สายธุรกิจสินค้าบรรจุภัณฑ์ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึง การใช้ AI ขององค์กรเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศในหัวข้อ Al Paradox High Energy vs Climate Solutions BJC ใช้ AI เพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืนและการดูแลสิ่งแวดล้อมในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ AI ในการออกแบบขวดให้มีน้ำหนักเบา ช่วยลดพลังงานที่ใช้ในการหลอมขวด ลดของเสีย และลดการปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศ รวมถึงลดภาระในการขนส่งเนื่องจากน้ำหนักเบาลง เนื่องจากอุตสาหกรรมการผลิตขวดแก้วใช้พลังงานสูงมาก BJC ใช้ AI ในการควบคุมเตาหลอม ผ่านระบบที่เรียกว่า “Expert System” เพื่อให้การใช้พลังงานมีความสม่ำเสมอไม่มากหรือน้อยเกินไป ส่งผลให้คุณภาพของขวดดีขึ้นและลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งระบบนี้ไม่ได้ใช้พลังงานเยอะ
นอกจากนี้ BJC ยังพัฒนาแอปพลิเคชัน “C3Leng” (ซีซาเล้ง) เพื่อเชื่อมโยงวงจรการนำขวดแก้วกลับมาใช้ใหม่ โดยผู้บริโภคในชุมชนสามารถติดต่อผู้เก็บขวดเก่าและผู้ประกอบการรีไซเคิล เพื่อนำเศษแก้วกลับเข้าสู่โรงงาน แอปพลิเคชันนี้ยังสามารถจัดการขยะประเภทอื่นๆ เช่น กระดาษและอะลูมิเนียม เพื่อนำไปรีไซเคิลได้ด้วย
"แอปพลิเคชัน C3Leng ได้รับการพัฒนามาแล้ว 5-6 ปี โดยแอปฯ นี้ไม่ได้ใช้การประมวลผลของ AI มากนัก แต่เน้นไปที่การวางระบบและการสื่อสารเพื่อทำให้เกิดผล ซึ่งหากเอกชนและภาครัฐร่วมมือกันก็จะทำให้การจัดการขยะในประเทศดีขึ้นโดยรวมแล้ว BJC มองว่า AI เข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตและบริหารจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงส่งเสริมการรีไซเคิล เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม" นงนุช กล่าวปิด
รีไซเคิลขวด ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
วิจิตรา สุภาคง ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารความยั่งยืนและความเสี่ยง บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ร่วมพูดคุยในหัวข้อ ขวดแก้วเปลี่ยนโลก เมื่อขยะคือโอกาส และนวัตกรรมคือคำตอบ Glass Talks Turning Waste into Opportunity, and Innovation into Impact ในฐานะที่ BJC Glass (Thailand) เป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีกำลังการผลิตรวมมากกว่า 3,200 ตันต่อวัน บริษัทฯจึงได้จัดทำโครงการ The Glass Cycle รีไซเคิลแบบครบวงจร ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง และไม่ต้องใช้พลังงาน หรือกระบวนการเพิ่มเติมในการรีไซเคิล ผ่าน 3 องค์ประกอบหลักของโครงการ คือ
- เทคโนโลยีดิจิทัล แอปฯ C3Leng ซึ่งพัฒนาโดย บริษัท แก้วกรุงไทย จำกัด สำหรับซื้อ-ขายขยะออนไลน์ และมีรถรับซื้อถึงบ้าน เป็นตัวกลางให้ผู้ทิ้งขยะสามารถขายขยะได้อย่างง่าย สะดวก และปลอดภัย ปัจจุบัน มีการขยายสาขาทั่วประเทศ 21 สาขาในหลายจังหวัด เก็บเศษแก้วเพิ่มกว่า 1,160 ตัน สะท้อนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการขยายผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมแบบมีส่วนร่วม
- เทคโนโลยีเตาหลอมอัจฉริยะ (ESIII Smart Furnace) เป็นระบบเตาหลอมที่ปรับค่าการเผาไหม้โดยอัตโนมัติเพื่อประสิทธิภาพความร้อนสูงสุด ลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็นโดยใช้ AI และเซนเซอร์ควบคุม ซึ่งเป็นหัวใจในการลดการปล่อยคาร์บอน (Scope 1)
- การออกแบบบรรจุภัณฑ์แบบยั่งยืน BJC Glass โดยการออกแบบขวดไลท์เวท ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์แก้วที่มีน้ำหนักเบา ใช้ตัววัสดุน้อยลงต่อขวด ช่วยลดการใช้ทรัพยากร และลดน้ำหนักในการขนส่ง ส่งผลให้ใช้พลังงานและเชื้อเพลิงลดลง กระบวนการเหล่านี้ช่วยเพิ่มอัตราการรีไซเคิล สามารถนำขวดแก้วกลับมาใช้ใหม่โดยตรง โดยไม่ต้องหลอมใหม่ หรือผ่านกระบวนการผลิตซ้ำ ลดการใช้พลังงานที่มักเกิดจากการรีไซเคิลแบบดั้งเดิม และไม่ต้องส่งขวด ไปยังโรงงานรีไซเคิลภายนอก ซึ่งช่วย ลดก๊าซเรือนกระจก จากการขนส่งระยะไกล
นอกจากนี้ การใช้เศษแก้วแทนวัตถุดิบผลิตแก้ว เช่น ทราย โซดาแอช หินปูน จะช่วยลดความจำเป็นในการ ใช้ทรัพยากรใหม่จากธรรมชาติ และการผลิตขวดด้วยเศษแก้วใช้พลังงานน้อยกว่าการผลิตจากวัตถุดิบใหม่ นับตั้งแต่โครงการเริ่มต้นในปี 2021 จนถึงปัจจุบันมีการรีไซเคิลขวดแก้วใช้แล้วกว่า 1,696,152 กิโลกรัม ทดแทนการใช้วัตถุดิบใหม่ไปกว่า 2 ล้านตัน ประหยัดพลังงานได้มากกว่า 83,000 MWh หรือเทียบเท่าพลังงานที่เพียงพอสำหรับใช้ไฟฟ้าบ้านทั่วไปกว่า 300,000 หลัง เป็นเวลา 1 เดือน ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ประมาณ 17,490 ตัน CO₂e ซึ่งเทียบเท่ากับการลดการใช้รถยนต์บนถนนกว่า 3,800 คัน โครงการ Glass Cycle ของ BJC ไม่ได้เป็นเพียงแค่โครงการรีไซเคิล แต่คือการสร้างระบบนิเวศแห่งความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจ ชุมชน และผู้บริโภค เพื่อร่วมกันสร้างสังคมที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
"หากโมเดลนี้ถูกขยายไปสู่ทุกอุตสาหกรรม จะเกิดการเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจแบบใช้แล้วทิ้ง ไปสู่ เศรษฐกิจหมุนเวียน อย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่ได้เกิดจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เกิดจากพลังร่วมกันที่ทุกคนช่วยกันสร้างขึ้นในวันนี้เพื่อโลกที่ดีขึ้นในวันข้างหน้า" วิจิตรา กล่าว







