CP Group - Unilever Thailand แชร์แนวคิดความยั่งยืน ขับเคลื่อนโลกสู่อนาคต

"CP Group" และ "Unilever Thailand" ร่วมแชร์แนวคิดการขับเคลื่อนโลกสู่ความยั่งยืน ในงาน "GCNT Expo 2025"
ในงาน GCNT Expo 2025 Forward SDGs Faster Together รวมพลังเร่งสร้างโลกที่ยั่งยืน ที่ True Digital Park ระหว่างวันที่ 29-31 กรกฎาคม 2568 มีเวทีเสวนาหลายหัวข้อที่น่าสนใจ หนึ่งในนั้นคือ "Innovation for Sustainability" ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนแนวคิดด้านความยั่งยืนขององค์กรชั้นนำของโลก ทั้ง เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ CP Group และ Unilever Thailand โดย ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กรและการพัฒนากลยุทธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และอภิพร อดุลย์พิจิตร ผู้อำนวยการด้านงานวิจัยและพัฒนาอาหารกลุ่มประเทศเอเชีย (GreaterAsia) บริษัทยูนิลีเวอร์ประเทศไทย
อภิพร อดุลย์พิจิตร ผู้อำนวยการด้านงานวิจัยและพัฒนาอาหารกลุ่มประเทศเอเชีย (GreaterAsia) บริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ระบุว่า ยูนิลีเวอร์วางประเด็นความยั่งยืนไว้เป็นเป้าหมายหลักของบริษัทฯ ครอบคลุมในทุกด้าน ภายใต้แนวคิด Brighten Everyday Life for All และในตัวองค์กรเองก็จะต้องมีความเป็นธรรม ความหลากหลายและการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม พร้อมตั้งเป้าให้ล้อกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ โดยภายในปี 2030 จะต้องลดการปล่อยคาร์บอนสโคป 1 และ 2 ให้ได้ 100%
รวมถึงส่งเสริมการทำเกษตรกรรมฟื้นฟูให้ได้ 6 ล้านไร่ทั่วโลก ตลอดจนไม่ตัดไม้ทำลายป่า พร้อมมีโครงการจัดการน้ำมากกว่า 100 โปรแกรมทั่วโลกตั้งเป้าลดการใช้พลาสติกใหม่ลง 40% เมื่อเทียบกับปี 2019 และในปี 2025 ตั้งเป้าว่าจะใช้พลาสติกรีไซเคิลมาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ 25% โดยภายในปี 2030 บรรจุภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัทจะต้องนำกลับมาใช้ใหม่ได้ รีไซเคิลได้ และย่อยสลายได้
ขณะที่ ด้านการดูแลความเป็นอยู่ของพนักงาน บริษัทฯ เริ่มทำสัญญากับซัพพลายเออร์ทั่วโลกให้จ่ายค่าแรงขั้นต่ำไปแล้ว 50% อีกทั้งยังมีเกษตรกรรายย่อยกว่า 250,000 คนที่ได้รับการสนับสนุนปัจจัยขั้นพื้นฐานในการทำการเกษตรและสภาพความเป็นอยู่ที่ดีจากบริษัท พร้อมช่วยให้ SME 2.5 ล้านรายขยายธุรกิจได้
อีกสิ่งที่ ยูนิลิเวอร์ ให้ความสำคัญมากคือ การสร้างบุคลากร โดยปัจจุบันมีนักวิจัยกว่า 5,000 คนทั่วโลก และมีสิทธิบัตรกว่า 20,000 ฉบับ พร้อมตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม 6 แห่งกระจายอยู่ทั่วโลก รวมถึงตั้งศูนย์ออกแบบภูมิภาคอีก 12 แห่งกระจายอยู่ตามประเทศต่างๆ โดยในประเทศไทยตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง
เนื่องจากบริษัทฯ ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เพียงลำพัง จึงเน้นการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ สถาบันการศึกษา พันธมิตรทางธุรกิจ ผู้บริโภค และนักลงทุน มุ่งเน้นการพัฒนากระบวนการผลิตตั้งแต่ วัตถุดิบต้นน้ำจนถึงผลิตภัณฑ์ปลายทาง เพื่อให้มั่นใจว่ายั่งยืนในทุกขั้นตอน ตั้งแต่เกษตรกรรมฟื้นฟู การจัดการน้ำ การลดก๊าซเรือนกระจก ไปจนถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพของทุกคน ดีต่อโลก และอร่อยด้วย
อภิพร เน้นย้ำว่า ระบบนิเวศทางธุรกิจเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนจะต้องช่วยกันทำให้เกิดขึ้น ระบบนิเวศทางธุรกิจเป็นเรื่องสำคัญมาก อย่างที่บอกเราทำคนเดียวไม่ได้ เราต้องร่วมมือกับทุกๆ องค์กร ไม่ว่าจะเป็นของภาครัฐหรือเอกชนด้วยกันเอง อย่ามองว่าเป็นคู่แข่งกัน แต่เราควรจะมองว่าเราจะช่วยกันได้อย่างไร
ขณะที่ ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กรและการพัฒนากลยุทธ์เครือเจริญโภคภัณฑ์ มองว่า นวัตกรรมเทคโนโลยีต่างๆ สามารถช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ แต่ปัญหาคือแรงงานจะสามารถปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ได้มากเพียงใด คนที่ปรับไม่ได้ก็จะถูกทิ้งห่างไปเรื่อยๆ เกิดเป็นช่องว่างเชิงดิจิทัล ซึ่งนอกจากจะต้องส่งเสริมให้มีการปรับตัวในการเปิดรับเทคโนโลยีแล้ว องค์กรและประเทศก็ต้องสร้างระบบนิเวศที่รองรับนวัตกรรมเทคโนโลยีด้วย
สำหรับ CP Group มียุทธศาสตร์ความยั่งยืนที่ทำให้เป็นเนื้อเดียวกับธุรกิจ แบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ Heart Health และ Home ซึ่งจะมีเป้าหมาย 15 ประเด็น ตามแกนเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมออกมาเป็นเป้าหมายหลัก 3 ข้อ อย่างแรกคือ การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ตั้งเป้าเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2030 และมุ่งสู่เน็ตซีโร่ในปี 2050 โดยตอนนี้บริษัทฯ ได้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในทุกอาคาร รวมถึงใช้รถไฟฟ้า ซึ่งจะนำไปสู่การใช้พลังงานชีวมวล และก๊าซชีวภาพ พร้อมสร้างความตระหนักรู้แก่พนักงาน
ถัดมาคือการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน ด้วยการจัดการขยะ โดยเฉพาะขยะอิเล็กทรอนิกส์และแบตเตอรี่รถไฟฟ้าที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง รวมถึงเตรียมพร้อมหากเกิดมีการเก็บภาษีพลาสติกในอนาคต และหาทางลดขยะอาหาร ด้วยแนวคิด Zero Waste พร้อมสร้างความมั่นคงทางอาหาร
ดร.ธีระพล ระบุว่า นวัตกรรมและกลไกตลาดเป็นสิ่งสำคัญในการก้าวไปสู่เน็ตซีโร่ โดยการที่องค์กรจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้ องค์กรจำเป็นต้องเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ เพราะถ้าทำแบบเดิมอาจจะอยู่รอดไม่ได้ โลกเปลี่ยนแปลงตลอดต้องปรับเปลี่ยนให้ทัน นอกจากนี้จำเป็นต้องกระจายซัพพลายเชนเพื่อกระจายความเสี่ยง รวมถึงสร้างพันธมิตรทางธุรกิจด้วย ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดใด ต้องพึ่งพากันเหมือนป่าที่มีต้นไม้ทุกประเภท
ขณะเดียวกัน คนในองค์กรก็ต้องมีทักษะความเข้าใจและความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ตลอดจนใช้ทรัพยากรให้ประหยัด คุ้มค่ามากที่สุด และประเด็นสุดท้ายคือประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ ที่ในตอนนี้มีความผันผวน แต่เราจำเป็นต้องอยู่ให้ได้อย่างสมดุล
นอกจากนี้ ดร.ธีระพล ยังแนะนำ 4 สิ่งที่องค์กรจะต้องทำในยุคปัจจุบัน คือ 1.) ขยับให้เร็ว ขยายให้ไว เพราะทุกวันที่โลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก 2.) ปรับโครงสร้างองค์กร ลดลำดับขั้นในองค์กร เพื่อให้ทำงานให้ได้เร็ว 3.) เสริมทักษะให้พนักงาน ทั้งอัพสกิล รีสกิล จะมัวไปรอถามแต่พาร์ตเนอร์ไม่ได้ 4.) คนและเทคโนโลยีต้องพัฒนาไปพร้อมกัน อย่ามองว่าเอไอเป็นคู่แข่ง ควรโอบรับเทคโนโลยีแล้วมาใช้เป็นเครื่องมือ
ดร.ธีระพล มองว่า ในอีก 5-10 ปีข้างหน้าเทคโนโลยีจะคาดเดาได้ยาก ปัจจุบันนวัตกรรมในเทคโนโลยีมันโตแบบก้าวกระโดด เทคโนโลยีสามารถทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้ ในอนาคตอาจจะสร้างดวงอาทิตย์ได้เอง หรือสังเคราะห์น้ำจืดได้ หรือผสมทองคำได้เอง โดยทิ้งท้ายว่าความยั่งยืนเป็นโอกาส
"ความยั่งยืนเป็น โอกาสของคนรุ่นใหม่ สตาร์ทอัพ และ SME มันอยู่ที่ว่าเราจะสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ และเปลี่ยนมันเป็นธุรกิจได้หรือไม่ ซึ่งนอกจากจะทำเงินได้แล้วยังเป็นโอกาสอย่างมากที่จะทำให้โลกดีขึ้นด้วย ตัวเราก็ดีขึ้นด้วย แล้วมีธุรกิจด้วย แล้วก็ยั่งยืนไปด้วยกัน"







