จาก 'หอรัษฎากรพิพัฒน์' สู่กระทรวงการคลัง 150 ปี เสาหลักเศรษฐกิจไทย

จาก "หอรัษฎากรพิพัฒน์" ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2416 สู่กระทรวงการคลัง หน่วยงานสำคัญที่มีประวัติศาสตร์กว่า 150 ปี เสาหลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
กระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานสำคัญที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 150 ปี มีบทบาทหลักในการจัดหารายได้ ควบคุมการใช้จ่ายเงินแผ่นดิน และรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้มีการปรับเปลี่ยนบทบาทเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ บทความนี้จะนำเสนอประวัติความเป็นมาและบทบาทของกระทรวงการคลังในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
การบริหารการคลังของไทยมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย แม้สมัยนั้นยังไม่มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ รายได้ของแผ่นดินมาจากส่วยสาอากร หรือภาษีอากร 4 ชนิด ได้แก่ จังกอบ อากร ส่วย และฤชา
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น มีการจัดระเบียบการปกครองฝ่ายพลเรือนเป็น 4 ส่วน เรียกว่า "จตุสดมภ์" ซึ่งประกอบด้วย กรมเมือง กรมวัง กรมพระคลัง และกรมนา โดยกรมพระคลังทำหน้าที่รักษาราชทรัพย์และผลประโยชน์ของบ้านเมือง มีขุนคลังเป็นหัวหน้า และมีพระคลังสินค้าเป็นที่เก็บและรักษาส่วยสาอากร
เมื่อเข้าสู่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2367-2394) เนื่องจากรัฐมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น จึงทรงหาวิธีเพิ่มรายได้แผ่นดินด้วยการให้ผูกขาดการเก็บภาษีอากร โดยอนุญาตให้เจ้าภาษี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน เป็นผู้จัดเก็บภาษีจากราษฎร โดยเจ้าภาษีจะเสนอรายได้สูงสุดในการจัดเก็บภาษีแต่ละประเภทให้แก่รัฐบาล เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจะส่งเงินให้รัฐบาลเป็นรายเดือนจนครบตามที่ประมูลไว้ เป็นการเริ่มระบบเจ้าภาษีนายอากรนับแต่นั้นมา
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2394-2411) ได้มีการลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริงกับประเทศอังกฤษเมื่อปี พ.ศ. 2398 ทำให้ไทยต้องยกเลิกการค้าแบบผูกขาดโดยระบบพระคลังสินค้า และเลิกการเก็บภาษีเบิกร่องหรือค่าปากเรือ มีการจัดตั้งศุลกสถาน (Customs House) หรือโรงภาษีเพื่อจัดเก็บภาษีขาเข้าในอัตรา "ร้อยชักสาม" (3%) และภาษีขาออกตามที่ระบุไว้ในสัญญา นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงกษาปณ์สิทธิการในพระบรมมหาราชวังเพื่อผลิตเงินเหรียญด้วยเครื่องจักร
จุดกำเนิดการก่อตั้งกระทรวงการคลัง
การปฏิรูประบบราชการในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการคลังไทย ในปี พ.ศ. 2416 ได้มีการจัดตั้ง "หอรัษฎากรพิพัฒน์" ในพระบรมมหาราชวัง เป็นที่ทำการของเจ้าพนักงานพระคลังมหาสมบัติ และให้มีพนักงานบัญชีกลางสำหรับรวบรวมบัญชีเงินผลประโยชน์แผ่นดินและตรวจตราการเก็บภาษีอากร
"หอรัษฎากรพิพัฒน์" เข้ามาแก้ไขปัญหาด้านการคลังหลายประการ อาทิ ปัญหาการจัดเก็บภาษีที่ไม่มีระบบชัดเจน ปัญหาเจ้าภาษีนายอากรที่ไม่ส่งเงินตามกำหนด และปัญหาการทำบัญชีที่ไม่เป็นระเบียบ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2435 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิรูปการปกครองส่วนกลาง โดยแบ่งส่วนราชการเป็น 12 กระทรวง หนึ่งในนั้นคือ "กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ" ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของ กระทรวงการคลัง ในปัจจุบัน และนำมาสู่การวางระบบงบประมาณทำให้ประเทศไทยมีการจัดทำงบประมาณครั้งแรกในปี พ.ศ. 2439
ในยุคก่อน พ.ศ. 2500 มีการพัฒนาระบบเงินตราที่สำคัญหลายประการ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการตราพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2471 เพื่อรวบรวมและปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับเงินตรา พร้อมกำหนดค่าของเงินบาทเข้าสู่มาตราทองคำโดยตรง ทำให้เงินบาทไม่ต้องขึ้นอยู่กับการเทียบค่าทองคำของเงินสกุลอื่น
ในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2482) ได้มีการจัดตั้ง สำนักงานธนาคารชาติ ซึ่งนำไปสู่การตราพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 และพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตรา เพื่อควบคุมกิจการปริวรรตเงินตราต่างประเทศ
ภายหลังการรัฐประหารปี พ.ศ. 2501 มีการตราพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 เพื่อดำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพเงินตรา ซึ่งเป็นพื้นฐานของระบบการเงินไทยในปัจจุบัน
บทบาทกระทรวงการคลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ในช่วงปี พ.ศ. 2500-2515 ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ยุคของการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างจริงจัง โดยมีการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับแรกในปี พ.ศ. 2504 กระทรวงการคลัง มีบทบาทสำคัญในการระดมทุนเพื่อการพัฒนา ปฏิรูประบบภาษี และส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ความพยายามนี้ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีความท้าทายจากสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ
วิกฤติเศรษฐกิจ เกิดขึ้นหลายครั้งหลังจากที่เข้าสู่ยุคการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างจริงจัง โดยในปี พ.ศ. 2516 และปี พ.ศ. 2522 เกิดวิกฤติน้ำมันสองครั้ง ส่งผลกระทบรุนแรงต่อ เศรษฐกิจไทย กระทรวงการคลังได้ดำเนินมาตรการควบคุมราคาน้ำมัน จัดตั้งกองทุนน้ำมันเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา
เมื่อผ่านยุคโชติช่วงชัชวาลย์ที่ประเทศไทยเริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมี หลังจากนั้นได้สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด แต่ไม่นานเกิด วิกฤติต้มยำกุ้ง ในปี พ.ศ. 2540 ซึ่งกระทรวงการคลังมีบทบาทสำคัญในการรับมือวิกฤติดังกล่าว โดยดำเนินนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ถัดจากนั้นต้องเผชิญ วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ (วิกฤติการเงินสหรัฐ) ในปี พ.ศ. 2551 กระทรวงการคลังได้ขยายการคุ้มครองเงินฝาก ดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการไทยเข้มแข็ง
การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทย กระทรวงการคลังได้ออกมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบ ได้แก่ การออกพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน การดำเนินโครงการเราไม่ทิ้งกัน โครงการคนละครึ่ง โครงการเราเที่ยวด้วยกัน รวมถึงมาตรการทางภาษีและสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
ตลอดระยะเวลา 150 ปี กระทรวงการคลัง มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ทั้งในด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงเวลาต่างๆ และการปรับปรุงระบบการคลังให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพ การดำเนินนโยบายการคลังที่เหมาะสมของกระทรวงการคลังมีส่วนสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลัง ยังคงเผชิญกับความท้าทายในการบริหารการคลังของประเทศ โดยเฉพาะในบริบทของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก การปรับตัวและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้กระทรวงการคลังสามารถรับมือกับความท้าทายเหล่านี้และสามารถ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต







