RML ประกาศผลประกอบการปี 2566 ฟื้นตัวในระดับที่น่าพอใจ
RML ประกาศผลประกอบการปี 2566 ฟื้นตัวในระดับที่น่าพอใจ พร้อมโชว์แผนปี 2567 เปิดตัวโครงการแนวราบอัลตราลักชัวรีใหม่ 3 โครงการ และเดินหน้าสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องผ่านการเติมเต็มพื้นที่เช่า "โอซีซี"
บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML โชว์ผลประกอบการปี 2566 ยอดขาย (Presales) 1,912 ล้านบาท ชี้ปัจจัยความสำเร็จมาจากคอนโดมิเนียม 2 โครงการพร้อมอยู่ ได้แก่ "ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์" (The Estelle Phrom Phong) โครงการระดับอัลตราลักชัวรี บนทำเลใจกลางสุขุมวิท จำนวน 146 ยูนิต ซึ่งมีมูลค่าโครงการ 5,200 ล้านบาท สามารถปิดการขายได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผนวกกับผลตอบรับที่ดีจากคอนโดมิเนียมลักชัวรีพร้อมอยู่ใจกลางสาทร "เทตต์ สาทร ทเวลฟ์" (Tait Sathorn12) ที่มียอดขายรวม 98% รวมทั้งสร้างรายได้ประจำผ่านโครงการ "โอซีซี" หรือ One City Centre อาคารสำนักงานลักชัวรี Grade A+ ที่มีอัตราการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกรวมถึงความสนใจจากลูกค้า ณ ปัจจุบันรวมประมาณ 70% พร้อมวางกลยุทธ์รับมือการเปลี่ยนแปลงของภาพรวมทางธุรกิจในปี 2567
แม้ว่าในปี 2566 เป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายของ RML แต่บริษัทฯ ยังบริหารการขายโครงการได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ โดยสามารถปิดการขาย "ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์" โครงการคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุนกับ โตเกียว ทาเทโมโนะ อีกทั้งยังมีรายได้หลักมาจากการโอนกรรมสิทธ์โครงการนี้ โดยมียอดโอน 4,750 ล้านบาท หรือคิดเป็น 97% ของจำนวน ยูนิตพร้อมโอน และ "เทตต์ สาทร ทเวลฟ์" ที่ลูกค้าทยอยโอนอย่างรวดเร็ว มียอดโอนแล้วถึง 2,400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 55% ของจำนวนยูนิตพร้อมโอน
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีรายได้ประจำจากโครงการ "โอซีซี" อาคารสำนักงานลักชัวรี Grade A+ ที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ ปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่สำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก รวมถึงความสนใจจากลูกค้าแล้วประมาณ 70% สะท้อนให้เห็นว่าลูกค้าไว้วางใจในแบรนด์ RML ที่มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจและสร้างโครงการที่มีคุณภาพบนมาตรฐานระดับโลก โดยในปี 2567 นี้ บริษัทฯ ได้มีการวางกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและพร้อมกับการปรับตัวมากขึ้น ด้วยการประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ ขึ้นอีกจำนวน 3,588 ล้านบาท สำหรับใช้ในการพัฒนาโครงการใหม่ เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงของรายได้ และกำไรของธุรกิจในอนาคต
กรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร RML เปิดเผยว่า จากภาพรวมผลประกอบการของ RML ที่เริ่มฟื้นตัวในปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า ตลาดอสังหาฯ ลักชัวรีและอัลตราลักชัวรียังคงมีอุปสงค์ (Demand) สูง ดังนั้นในปี 2567 บริษัทฯ พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์ใหม่ที่จะขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปอย่างมั่นคง ควบคู่ไปกับการมุ่งสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ มุ่งพัฒนาโครงการด้วยรูปแบบการดำเนินธุรกิจใหม่ในเซกเมนต์ที่ยังไม่ค่อยมีการพัฒนา ซึ่งจะสร้างสีสันใหม่ๆ ให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยเราจะให้ความสำคัญกับการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ประกอบกับบริหารการเงินของบริษัทฯ ให้มีกระแสเงินสดเพียงพอ มีสภาพคล่อง มีโครงสร้างองค์กรที่สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจ เพื่อถือครองตำแหน่งหนึ่งในผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรีและอัลตราลักชัวรีของไทย ซึ่งจะเป็นการพลิกโฉม RML สู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
ในปี 2567 บริษัทฯ จะเดินหน้าสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องผ่านการเติมเต็มพื้นที่เช่า "โอซีซี" ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานลักชัวรี่ Grade A+ โดยเป็นโครงการร่วมทุนในสัดส่วน 60:40 ระหว่าง RML และ มิตซูบิชิ เอสเตท (ประเทศไทย) ด้วยพื้นที่ให้เช่าทั้งหมดรวมประมาณถึง 61,000 ตารางเมตร กับอัตราค่าเช่าเฉลี่ย 1,500 บาท/ตร.ม. ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่แล้วรวม 70% หลังจากโครงการสร้างแล้วเสร็จเพียง 6 เดือนเท่านั้น ถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งยังสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ อีกด้วย โดยโครงการมีบริษัทระดับโลกมากมายมาเช่าพื้นที่ อาทิ เดอะ บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (ประเทศไทย) บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก, ธนาคารบีเอ็นพี พารีบาส์ ธนาคารสัญชาติฝรั่งเศสที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก, อมาเดอุส เอเชีย บริษัทเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวระดับโลก, รวมไปถึงมารูเบนิ กลุ่มบริษัทชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นที่มีธุรกิจหลากหลายครอบคลุม 8 อุตสาหกรรมหลัก และอีกหลายบริษัทในเครือมิตซูบิชิ กรุ๊ป อีกกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น เป็นต้น
ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า "โอซีซี" เป็นอาคารสำนักงานที่ได้รับความไว้วางใจและได้รับการยกย่องจากบริษัทชั้นนำระดับโลกมากมาย และส่งผลให้มีรายได้จากค่าเช่าที่ดี ด้วยการตอบรับและแนวโน้มที่ดีเช่นนี้จึงทำให้ "โอซีซี" มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาไปสู่การลงทุนในรูปแบบ Private Equity Trust (PE Trust) หรือ Real Estate Investment Trust (REIT) ที่ให้ผลตอบแทนจากการเช่าที่น่าพึงพอใจ ซึ่งจะได้รับการยอมรับจากสถาบันการเงินระดับภูมิภาคสำหรับศักยภาพและผลตอบแทนจากการลงทุนที่โดดเด่น ทั้งนี้การพัฒนา PE Trust หรือ REIT ที่ประสบความสำเร็จจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานะการเงินของบริษัทฯ ให้เติบโตอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ ยังพัฒนาธุรกิจต่อเนื่องด้วยการเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการแนวราบเจาะกลุ่มลูกค้ามหาเศรษฐีบนยอดพีระมิดของเซกเมนต์อัลตราลักชัวรีที่ปัจจุบันยังมีการพัฒนาอยู่น้อย แต่มี demand เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิดตัว 3 สุดยอดโครงการบนทำเลทองของหัวเมืองหลัก ได้แก่ โครงการบนทำเลใจกลางพร้อมพงษ์-ทองหล่อ มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 400 - 700 ล้านบาทต่อหลัง และ Branded Residential Villa ระดับอัลตราลักชัวรี ทำเลอ่าวกมลา จังหวัดภูเก็ต มูลค่าโครงการ 12,000 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 600 - 1,000 ล้านบาทต่อหลัง รวมทั้งโครงการแนวราบระดับอัลตราลักชัวรีริมแม่น้ำเจ้าพระยา ราคาขายประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อหลัง โดยทั้ง 3 โครงการ จะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนที่จะจัดตั้งขึ้นโดยบริษัทฯ โดยมีบริษัทฯ เป็นผู้ลงทุนหลัก พร้อมกับนักลงทุนสถาบันด้านอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงได้รับสนับสนุนเงินกู้จากสถาบันการเงินเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนตามความเหมาะสม อีกทั้งบริษัทฯ ยังได้ปรับรูปแบบการบริหารสินทรัพย์ที่มีอยู่ในโครงการมิกซ์ยูสริมแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อเปิดขายให้กับนักลงทุนอีกด้วยเช่นกัน