โอกาสใหม่ของเอสเอ็มอี

โอกาสใหม่ของเอสเอ็มอี

การปรับตัวไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จะใช้เทคโนโลยีเต็มพิกัดก็หมายถึงเงินลงทุนมหาศาล

การเอาใจจดจ่อกับความเป็นไปของโลก อาจสร้างความกดดันให้กับตัวเราเองโดยไม่จำเป็น เพราะสถานการณ์หลายๆ อย่างนั้น อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา 

เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร หรือใครถูกใครผิดเราก็ไม่ส่วนในการชี้ขาดเพราะนั่นเป็นเกมการเมืองระดับโลกที่คาดเดาอะไรไม่ได้

เช่นเดียวกับปัญหาเศรษฐกิจในระดับมหภาค ที่มีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนจากผลกระทบของสงคราม ซึ่งไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็หลีกเลี่ยงปัญหาเศรษฐกิจไปไม่พ้น รวมถึงประเทศไทยก็ต้องปรับลดตัวเลขประมาณการเติบโตของ GDP ที่จะเหลือเพียง 2.9% จากการคาดการณ์ของเวิลด์แบงก์

รวมไปถึงการระบาดของโควิด-19 ที่กลายพันธุ์อย่างต่อเนื่องจากสายพันธุ์อัลฟ่า เบต้า เดลต้า มาจนถึงโอมิครอนที่ดูแล้วระบาดรุนแรงและมีอัตราการแพร่เชื้อสูงที่สุด 

จนทำให้หลายประเทศที่เราเคยคิดว่าก้าวข้ามการระบาดนี้ได้สำเร็จแล้วเช่นจีน กลับต้องเผชิญกับผลกระทบระลอกใหม่จนคาดว่าจะส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของ GDP แน่นอนจากกรณีการปิดเมืองเซี่ยงไฮ้ ที่คาดเอาไว้อย่างน้อย 1.2%

ทั้งหมดนี้เป็นข่าวด้านลบที่เราไม่อาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรได้ หลายคนที่เสพข่าวสารมากเกินไปจนเครียดก็จะเครียดยิ่งขึ้น เพราะดูเหมือนจะหาทางออกไม่ได้ แต่หากเราเปลี่ยนมุมคิดและหาวิธีรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเราอาจพบว่าตอนนี้มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้ว

เพราะปัจจุบันหลายประเทศรวมทั้งบ้านเราเริ่มผ่อนปรนมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 จนทำให้นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาคึกคักในสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆ แห่ง กิจการโรงแรม ขนส่ง สายการบิน ฯลฯ คาดว่าจะเริ่มกลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้งในครึ่งปีหลัง

และอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ก็คาดกันว่าไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนก็จะกลายเป็นเพียงโรคประจำถิ่น และทุกประเทศทั่วโลกก็จะหันมาฟื้นฟูเศรษฐกิจกันขนานใหญ่ การเตรียมพร้อมรับมือกับความตื่นตัวที่กำลังจะมาถึงจึงดีกว่าการอมทุกข์จากข่าวเชิงลบแน่นอน

ในช่วงเวลาแบบนี้องค์กรธุรกิจขนาดใหญ่มักอาศัยเครื่องมือทางดิจิทัลรับมือกับลูกค้าที่กำลังจะหลั่งไหล่เข้ามา ทั้ง AI, Blockchain, Robotics เพื่อรับมือกับลูกค้ายุคใหม่ที่มีพฤติกรรมสอดรับกับโลกดิจิทัล บริษัทเหล่านี้จึงมีแนวทางเป็นของตัวเองและมีความพร้อมสูงสุดในการรับมือกับโลกดิจิทัล

แต่การปรับตัวในแนวทางดังกล่าวในการนำมาใช้กับบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จะใช้เทคโนโลยีเต็มพิกัดก็หมายถึงเงินลงทุนมหาศาล ซึ่งบริษัทเหล่านี้ก็ไม่ได้มีเงินทุนเหลือใช้ การวางทิศทางเพื่ออนาคตใน 3-5 ปีข้างหน้า จึงต้องคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่าจะเติบโตไปในทิศทางไหน

ซึ่งดูแล้วธุรกิจที่มีอนาคตและเหมาะกับ SME ของไทยในยุคนี้ที่สุดคือ หนึ่ง ธุรกิจด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการใดๆ ก็ตามเพราะคนรุ่นใหม่มองเห็นแล้วว่ามีเงินเยอะแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์หากสุขภาพไม่ดี การใช้ชีวิตของเขาจึงต้องสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต ซึ่งต้องเลือกของที่ดีที่สุดเพื่อร่างกายตัวเองเสมอ

ธุรกิจยา อาหารเสริม ธุรกิจด้านสุขภาพ การดูแลตัวเอง การเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน การออกกำลังกาย ฯลฯ จึงเติบโตมหาศาล และไม่จำกัดอยู่กับเฉพาะมนุษย์เท่านั้น ลองดูธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของสัตว์เลี้ยง ก็จะเจอภาวะที่ไม่ต่างกัน ทั้งคลินิก โรงพยาบาลรักษาสัตว์ ร้านขายอาหารสัตว์ ฯลฯ

สอง นอกเหนือจากการดูแลสุขภาพกายแล้ว สุขภาพใจก็ต้องการคนดูเช่นเดียวกัน ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพจิตจึงมีโอกาสอีกมากมาย ยิ่งเกิดกระแส Work from Home เราก็ยิ่งเห็นว่ามีคนที่ได้รับผลกระทบด้านลบเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก

เพราะการขาดปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ จะยิ่งทำให้เกิดความเครียดสะสมจนหลายคนอาจเป็นโรคซึมเศร้าโดยไม่รู้ตัว ธุรกิจและอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพจิต ทั้งจิตแพทย์​ นักจิตวิทยา ไปจนถึงไลฟ์โค้ชที่คอยชี้แนวทางในการจัดการปัญหาชีวิตจึงมีแนวโน้มเติบโตได้อีกมาก …

จะเป็นธุรกิจใดอีกนั้น ...โปรดติดตามต่อในตอนหน้าครับ