อาวุธล้ำหน้า/ความบ้า ที่มาของสงครามโลก | ไสว บุญมา

อาวุธล้ำหน้า/ความบ้า ที่มาของสงครามโลก | ไสว บุญมา

ผ่านมา 1 เดือน เหตุการณ์ในยูเครน น่าจะเรียกว่าสงคราม เพราะมีลักษณะครบตามนิยามแล้ว ดังที่คอลัมน์นี้พูดถึงเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน

สงครามรัสเซีย-ยูเครน ครั้งนี้ดูจะมี "ความบ้า" ประกอบกับความรู้สึกเป็น "หมาจนตรอก" เป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นและดำเนินอยู่

 แม้จะได้เปรียบมากในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่กองทัพรัสเซียดูจะไม่สามารถเอาชนะฝ่ายยูเครนได้ในเวลาอันสั้นดังที่ผู้เชี่ยวชาญคาดกันไว้ ปัจจัยที่ทำให้เป็นเช่นนั้น ได้แก่ ความรู้สึกว่าตนเป็นหมาจนตรอกของฝ่ายยูเครน

กองทัพรัสเซียไม่สามารถรุกไปข้างหน้าได้ในหลายแนวรบ ส่งผลให้เกิดความบ้าคลั่งถึงกับดูจะเริ่มสั่งให้ทำลายอาคารสถานที่ ซึ่งไม่มีส่วนในการสู้รบรวมทั้งแหล่งหลบภัยของคนชรา สตรีและเด็ก  

นอกจากนั้น ยังมีการใช้อาวุธจำพวกจรวดที่บินได้เร็วไม่ต่ำกว่า 5 เท่าของเสียงโดยกองทัพรัสเซียอีกด้วย อาวุธดังกล่าวใช้เทคโนโลยีใหม่ซึ่งฝ่ายถูกโจมตีป้องกันยาก เนื่องจากเรดาร์ไม่สามารถจับมันได้ ส่งผลให้ใช้อาวุธยิงทำลายมันไม่ทัน  

รัสเซียเริ่มคุยเขื่องว่าตนสามารถผลิตอาวุธชนิดนี้ได้ เมื่อประธานาธิบดีปูตินไปร่วมเป็นพยานในการทดลองยิงเมื่อปี 2561 หลังจากหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐยืนยันว่า รัสเซียใช้อาวุธล้ำหน้านี้ในยูเครนจริง

มีคำถามตามมามากมายโดยเฉพาะเกี่ยวกับประเทศใดมีอาวุธชนิดนี้ไว้ในครอบครองบ้าง  หากยังไม่มี จะป้องกันอย่างไร  ณ วันนี้ไม่มีประเทศใดยืนยันว่าตนมี  ด้วยเหตุนี้ จึงมีการคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา     

    เป็นธรรมดาที่คำถามจะพุ่งตรงไปที่สหรัฐเป็นแห่งแรก เนื่องจากเป็นคู่แข่งลำดับต้นของรัสเซียและเป็นหัวหน้าของฝ่ายประชาธิปไตยตามด้วยการมองไปที่จีนและประเทศอื่นตามลำดับ  

มาถึงวันนี้ ยังไม่มีคำยืนยันว่าสหรัฐมีอาวุธจำพวกนี้แล้วหรือไม่  ผู้สันทัดกรณีดูจะคาดเดากันว่ายังไม่มีแม้จะได้ทำการวิจัยและพัฒนามาหลายปีแล้วก็ตาม  

การคาดเดาเช่นนั้นดูจะวางอยู่บนฐานของข้อมูลสาธารณะที่บ่งว่า ในปีงบประมาณปัจจุบันกองทัพอเมริกันของบประมาณ 3.8 พันล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาอาวุธดังกล่าว และอีก 247 ล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาระบบป้องกัน  แต่การคาดเดานั้นอาจผิดชนิด 180 องศา

เนื่องจากสหรัฐมีประวัติอันยาวนานเกี่ยวกับ การ "ปกปิด" การพัฒนาอาวุธชนิดใหม่ เช่น ระเบิดปรมาณูที่ใช้ถล่มเมืองฮิโรชิมะและนางาซากิ และเครื่องบินโจมตีชนิดล่องหนรุ่นแรกที่ใช้ในการเปิดสงครามอ่าวเปอร์เซียเมื่อต้นปี 2534 

    อนึ่ง การคาดเดาของผู้สันทัดกรณีไม่มีความสำคัญไม่ว่ามันจะผิดหรือถูก  การคาดเดาของนายปูตินเท่านั้นสำคัญเพราะมันอาจนำไปสู่สงครามโลกได้  

นายปูตินเข้าถึงข้อมูลจำพวกที่ผู้สันทัดกรณีเข้าไม่ถึง โดยเฉพาะที่ได้มาจากการสอดแนมของฝ่ายความมั่นคง  นายปูตินอาจจะคาดเดาว่าสหรัฐยังไม่มีอาวุธชนิดนี้และวิธีป้องกัน จึงเคยคุยข่มขวัญเป็นครั้งคราว

ตั้งแต่ปีที่เขาไปเป็นพยานการทดลองยิงและหลังเริ่มโจมตียูเครนก็เตือนชาวโลกอีกครั้งว่า ถ้าสนับสนุนยูเครนอาจถูกตอบโต้ด้วยวิธีที่ไม่เคยประสบมาก่อน  

การใช้อาวุธดังกล่าวโจมตียูเครนอาจเป็นการส่งสารถึงสหรัฐว่าอย่ายุ่งเพราะรัสเซียพร้อมโจมตีด้วยอาวุธชนิดนี้ที่ติดหัวนิวเคลียร์

    ตั้งแต่สหภาพโซเวียตส่งดาวเทียมสปุตนิกออกไปนอกโลกได้ก่อนสหรัฐเมื่อปี 2500 ชาวโลกส่วนหนึ่งเชื่อว่า สหรัฐมักล้าหลังทาง "เทคโนโลยีนำสมัย" ในบ้างด้าน  หากนายปูตินคิดเช่นนั้นในกรณีของการมีอาวุธล้ำหน้าจนทำให้ย่ามใจว่าตนสามารถทำลายสหรัฐได้โดยไม่ถูกตอบโต้

สงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้น ทั้งนี้เพราะ ณ วันนี้ สหรัฐคงได้เตรียมวิธีตอบโต้ไว้พร้อมแล้ว  ไม่ว่าสหรัฐจะมีอาวุธชนิดล้ำหน้าดังกล่าวหรือไม่ และจะรู้สึกว่าตนเป็นหมาจนตรอกหรือไม่จะไม่สำคัญ  

สงครามโลกครั้งที่ 3 จะทำลายทั้งคู่กรณีและประเทศที่ไม่เกี่ยวข้อง เนื่องจากการกระจายของกัมมันตภาพรังสีไม่มีพรมแดน  

ในอีกนัยหนึ่ง หากนายปูตินคิดบ้า ๆ โดยใช้อาวุธล้ำหน้าติดหัวนิวเคลียร์โจมตีสหรัฐก่อน โลกจะประสบภาวะเป็น “บ้า” (MAD) ที่ย่อมาจากข้อเตือนใจแห่งยุคนิวเคลียร์ Mutual Assured Destruction ซึ่งแปลเป็นไทยว่า  “วอดวายไปด้วยกัน”.