เรียนเพื่อแก้ปัญหาอนาคต

เรียนเพื่อแก้ปัญหาอนาคต

แม้กระทั่งศัตรูหรือคู่แข่งก็ต้องฉลาดพอที่จะเจรจาด้วยได้เพื่อสร้างการยอมรับ

เพราะโลกหมุนเร็วกว่าเดิม ความรู้ที่เราเคยสะสมมาตลอดชีวิตอาจไร้ความหมายในทุกวันนี้ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลาจึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งแม้จะเรียนรู้มากแค่ไหนก็อาจไม่พอใช้ในอนาคต 1-5 ข้างหน้า เพราะโลกพลิกโฉมไปด้วยองค์ประกอบบางอย่าง เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต คิดหาทางพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

คนรุ่นใหม่ที่เกิดมาพร้อมเทคโนโลยีดิจิทัลดูจะได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เพราะมีความรู้ใหม่ๆ ให้เขาตักตวงได้รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นความรู้ด้านวิชาการ ดนตรี งานอดิเรก ต่างๆ ก็มีให้เรียนผ่านระบบออนไลน์นับล้านเรื่อง

แต่ความจริงที่น่ากังวลก็คือ คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยขาดความจดจ่อกับการเรียนรู้ เพราะดูจะสนใจไปเสียทุกเรื่องจนทำให้ขาดสมาธิ แม้จะมีความรู้มากมายและหลากหลายมากกว่าคนสมัยก่อนแต่ก็ขาดความลึกซึ้งเพราะเรียนรู้ทุกอย่างมาแต่เพียงผิวเผิน

ที่น่ากลัวกว่าก็คือ อุปนิสัยที่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองรู้มานั้นคือทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว นั่นคือคิดว่าตัวเองรู้มาหมดแล้วจึงไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับเรื่องใหม่ๆ เพราะตัวเองเก่งแล้ว ทั้งที่สิ่งที่รู้มานั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งและไม่มากพอที่จะนำไปใช้งานจริงจังได้

ตรงกันข้ามกับบางคนซึ่งคิดอยู่เสมอว่าตัวเองยังไม่เก่งพอ ยังต้องเรียนรู้อีกมาก จึงหมั่นทบทวนตัวเองและหาความรู้เพิ่มอยู่เสมอจนกลายเป็นปัญญาญาณ กระตุ้นให้ตัวเองศึกษาหาความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มมูลค่าให้ตัวเองอย่างต่อเนื่อง

การยิ่งรู้ยิ่งเป็นการสร้างโอกาสให้เราได้เติบโตและประสบความสำเร็จ เพราะสถานการณ์ทุกวันนี้เปิดกว้างให้คนรุ่นใหม่มากขึ้น โดยประการแรก คือความสำคัญของชาติตระกูลลดลงมากเมื่อเทียบกับอดีต คนที่ประสบความสำเร็จได้จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับบางตระกูล หรือเครือญาติของผู้กว้างขวางเหมือนในอดีต

คนทั่วไปที่ไม่ได้มาจากตระกูลดังก็มีโอกาสเติบโตและประสบความสำเร็จได้หากมีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านใหม่ๆ ที่กำลังได้รับความสนใจ ซึ่งองค์ความรู้ที่ได้นั้นไม่ได้ถูกผูกขาดไว้กับตระกูลใด ตระกูลหนึ่ง การหมั่นเรียนรู้จึงเป็นหนทางให้คนธรรมดาขยับฐานะความเป็นอยู่ให้กับตัวเองและครอบครัวได้

ประการที่สองคือ ความมุมานะที่เปิดโอกาสให้เราสำเร็จได้เช่นกัน เพราะชีวิตเปรียบเสมือนการเดินทางไกล หากเราสะสมประสบการณ์และความเชื่อถือที่ได้รับจากคนรอบข้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ย่อมไปสู่เป้าหมายที่ต้องการในชีวิตได้เช่นกัน

การสร้างความเชื่อถือคือ การทำในสิ่งที่รับปากให้กับคนอื่นอยู่เสมอ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่กลายเป็นเครดิตที่สร้างความไว้ใจให้กับคนอื่น เหมือนกับการวิ่งมาราธอนที่ค่อยๆ วิ่งไปแต่ทุกคนมั่นใจว่าเราไปถึงเส้นชัยได้แน่นอน

ประการที่สามคือ เป็นมิตรกับคนรอบข้าง แม้กระทั่งศัตรูหรือคู่แข่งก็ต้องฉลาดพอที่จะเจรจาด้วยได้เพื่อสร้างการยอมรับ นั่นคืออาศัย EQ หรือความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์ที่ต้องรู้จักประยุกต์ใช้ความรู้ด้านอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น

ประการสุดท้ายคือ อย่าท้อกับอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสภาพแวดล้อม คู่แข่ง ลูกค้า ฯลฯ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเครื่องพิสูจน์ความหอมหวานของความสำเร็จที่รอเราอยู่ในอนาคตทั้งนั้น ไม่ต่างอะไรกับการกินปูที่กว่าจะได้กินต้องแกะแล้วแกะอีก ยิ่งแกะยากก็ยิ่งอร่อย

การเรียนรู้ตลอดชีวิตและการมุมานะเพื่อสร้างความเชื่อถือ จะยิ่งทำให้เราจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นได้ดีกว่าคนอื่น ซึ่งนั่นทำให้เรามั่นใจได้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหน เราก็จะพิชิตมันได้เสมอ