การ “ปล้น” คนรวยในยุโรปและอเมริกา | โสภณ พรโชคชัย

การ “ปล้น” คนรวยในยุโรปและอเมริกา | โสภณ พรโชคชัย

ใครที่คิดจะไปลงทุนในประเทศตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นยุโรป อเมริกา หรือประเทศตะวันตก หรือประเทศร่ำรวยที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย พึงระวัง ในประเทศเหล่านี้

เขามีกระบวนการ “ปล้น” คนรวย ที่ทำให้เราไม่สามารถที่จะรวยมากนักได้ จะ “เสรี” อย่างในประเทศไทย คงยาก  นี่แหละเขาถึงบอกว่าประเทศไทย เป็น Happy Hell (นรกที่มีความสุข) สำหรับคนมีเงิน ส่วนประเทศตะวันตกคือ Unhappy Paradise (สวรรค์ที่ไม่มีความสุข) สำหรับคนรวยๆ ที่คิดจะทำตามอำเภอใจ

    ตัวอย่างแรกของการ “ปล้น” คนรวยในที่นี้ขอยกตัวอย่างของสหราชอาณาจักรหรืออังกฤษ (ในประเทศตะวันตกอื่นก็เช่นเดียวกัน) กล่าวคือ ถ้าเราซื้อบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษ ต้องเสียภาษีตามอัตรานี้
 

- ราคาไม่ถึง 125,000 ปอนด์ เสียภาษี 0% 
    - ราคาระหว่าง 125,001 ถึง 250,000 ปอนด์ เสียภาษี 2%
    - ราคาระหว่าง 250,001 ถึง 925,000 ปอนด์ เสียภาษี 5%
    - ราคาระหว่าง 925,001 - 1,500,000 ปอนด์ เสียภาษี 10%
    - ราคาตั้งแต่ 1,500,001 ปอนด์ เสียภาษี 12%

    ยิ่งถ้าใครซื้อเป็นบ้านหลังที่สองหรือซื้อเพื่อการปล่อยเช่า จะต้องเสียภาษีซื้อในอัตราที่สูงกว่านี้อีกทั้งนี้เพื่อป้องกันการเก็งกำไรโดยคนรวยที่มีเงินมีทรัพย์มากกว่าคนทั่วไป  อัตรานี้ยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สิงคโปร์ และฮ่องกงที่เป็นเพื่อนบ้านของเราซึ่งมีคนจีนแผ่นดินใหญ่ คนชาติอื่นมาแย่งซื้ออสังหาริมทรัพย์กับคนในชาติ  

ทั้งสองประเทศนี้จึงกำหนดให้คนต่างชาติต้องเสียภาษีสูงถึง 30% ของมูลค่าตลาด  แต่ในประเทศไทยของเราไม่มีภาษาแบบนี้ ดังนั้นประเทศไทยจึงเป็นเสมือน “นรก” ที่มีความสุขของคนรวยๆ จากต่างประเทศที่จะมาซื้อทรัพย์เก็งกำไร  

แต่ถ้าเราไปหลงซื้อทรัพย์ในประเทศตะวันตกซึ่งเป็นเสมือน “สวรรค์” ก็เป็น “สวรรค์” ที่มีความทุกข์ที่เขารีดภาษีจากคนรวยๆ

    สำหรับในประเทศไทย พอมีบ้านเอื้ออาทร บ้านประชารัฐออกมา คนรวยๆ ก็มาแย่งคนจนซื้อโดยอาจใช้ชื่อลูกหรือใครต่อใครไปซื้อ ยิ่งถ้าเป็นห้องชุดราคาถูกของภาคเอกชน คนรวยๆ ก็จะไปซื้อแล้วขายใบจองหรือขายต่อให้ประชาชนทั่วไปที่ซื้อไม่ทัน  “การทำอะไรได้ตามใจคือ (คนรวย) ไทยแท้” จึงเกิดขึ้นทั่วไปหมด  แต่ในประเทศตะวันนตกเขาไม่ยอมให้คนรวยๆ ทำแบบนั้น เขาจึงเก็บภาษีในอัตราที่สูงลิ่วกว่านั่นเอง

กระบวนการ “ปล้น” คนรวยอีกอย่างในประเทศตะวันตกที่เราพึงทราบก็คือ การเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง สำหรับภาษีนี้  คนไทยแทบไม่ต้องเสีย เพราะเขาเก็บเฉพาะบ้านหลังแรกที่มีราคาเกินกว่า 50 ล้านบาทตามราคาประเมินราชการของกรมธนารักษ์ ซึ่งมักต่ำกว่าราคาตลาด

 เช่น ถ้าเรามีบ้านราคา 120 ล้านบาท ตามราคาตลาด แต่ราคาตลาดอาจเป็นสองเท่าของราคาประเมินราชการ คือเป็นเงินเพียง 60 ล้านบาท เราก็เสียภาษีเฉพาะ 10 ล้านบาทที่เกินมาในอัตรา 0.02% หรือล้านละ 200 บาท 10 ล้านที่เกินมาก็เสียเพียง 2,000 บาทต่อปีหรือเดือนละ 167 บาท ถูกกว่าค่าเก็บขยะตามหมู่บ้านเสียอีก

การ “ปล้น” คนรวยในยุโรปและอเมริกา | โสภณ พรโชคชัย

    แต่ถ้าเป็นในเยอรมนีและประเทศตะวันตกทุกประเทศ จะมีการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยเยอรมนี  เก็บในอัตราเฉลี่ย 1.5% ของราคาตลาด (ไม่ใช่ราคาประเมินของทางราชการ) แต่หลายประเทศก็มีราคาประเมินราชการซึ่งก็พอๆ กับราคาตลาด ไม่ใช่กดราคารประเมินราชการให้ต่ำๆ ไว้เพื่อช่วยเหลือคนรวย

 เช่น ในประเทศไทย ราคาที่ดินที่แพงที่สุดในกรุงเทพมหานคร แถวสยามสแควร์ ชิดลม เพลินจิต จากการสำรวจของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส มีราคาตลาดประมาณ 3.3 ล้านบาท แต่ราคาประเมินราชการยังอยู่ที่ 1 ล้านบาท ทั้งที่ราคาตลาดขึ้นมาเป็น 1 ล้านบาทตั้งแต่ปี 2552 แล้ว

    ในบางประเทศยังมีภาษีความมั่งคั่ง (Wealth Tax) โดยในฝรั่งเศสเรียกเก็บภาษีความมั่งคั่งเป็นรายปี สำหรับทรัพย์สินที่มีราคาเกินกว่า 1.3 ล้านยูโร (48 ล้านบาท) ตามราคาตลาด โดยมีส่วนลดให้ 8 แสนยูโร เงินส่วนที่เกิน คือตั้งแต่ 5 แสนยูโรขึ้นไป (1.3 ล้าน ลบ 8 แสน) ต้องเสียภาษีปีละ 0.5% หรือ 2,500 ยูโร (ประมาณ 95,000 บาท) และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึง 1.5%  

โดยนัยนี้หากใครมีบ้านราคา 500 ล้านบาท (สมมติ) เมื่อหักลดหย่อนไป 30 ล้านบาทแรก เหลือ 470 ล้านบาทแล้วหากเสียภาษีความมั่งคั่งอีกเฉลี่ยปีละ 1% ก็เท่ากับต้องเสียภาษีอีกปีละ 4.7 ล้านบาท

    ในประเทศตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกา ก็ยังมีภาษีกำไรจากการขายทรัพย์สิน (Capital Gain Tax) ภาษีนี้ไม่ได้ไปที่รัฐบาลท้องถิ่นเป็นหลัก แต่ไปที่รัฐบาลกลาง โดยมีอัตราการจัดเก็บที่ 0% 15% และ 20% โดยถ้าเป็นคนที่มีรายได้น้อยและทรัพย์สินราคาถูก ก็คงไม่เก็บ  แต่ถ้าเป็นคนมีฐานะโดยเฉพาะคนรวยๆ ก็จะเก็บถึง 20% 

นอกจากนี้ในแต่ละมลรัฐก็จัดเก็บเพิ่มอีกในอัตรา 2.9% - 13.3% ของกำไรจากการขายทรัพย์สิน  มีเพียง 9 มลรัฐที่ไม่เก็บภาษีนี้ (แต่ภาษีในส่วนของรัฐบาลกลางไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้) มีข่าวว่ารัฐบาลไบเดนอาจเพิ่มภาษีจากกำไรในการขายทรัพย์สินสูงไปถึง 39.6% แต่ก็ได้รับการต่อต้านอย่างหนัก จึงยังไม่ได้ดำเนินการ

    ยิ่งกว่านั้นในประเทศตะวันตกทั้งหลายยังมีภาษีมรดก ซึ่งหนักมากกระทั่งว่าญาติของที่มีบรรดาศักดิ์ทั้งหลาย เช่น ท่านเซอร์ หรือเชื้อพระวงศ์ จำเป็นต้องยกปราสาทของตนให้กับรัฐบาลเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษี  

อย่างในอังกฤษเขาเก็บกันที่ 18% - 40% เลย เช่น  ถ้าใครมีมรดกที่ 1 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 32 ล้านบาทไทย ก็ต้องเสียภาษีประมาณ 35% ของมรดก  แต่ในกรณีประเทศไทยมีข้อยกเว้นยุบยับไปหมด ทำให้คนรวยๆ แทบทุกคนสามารถรอดพ้นจากการเสียภาษีมรดก

การ “ปล้น” คนรวยในยุโรปและอเมริกา | โสภณ พรโชคชัย

    จะสังเกตได้อย่างชัดเจนประการหนึ่งว่า ประเทศตะวันตก หรือประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลาย ไม่ยอมให้มีใครรวยเกินหน้าใครมากนัก ต้องจัดการด้วยภาษี เสมือนการตัดหญ้าในสนามหญ้า ก็ต้องตัดให้เรียบเหมือนกันหมด ไม่มีการ “เขย่ง” ไม่มีการละเว้น  แต่แน่นอนก็คงต้องมีบางคนหลุดรอดไปบ้าง แต่คงน้อยมาก 

 ใครก็ตามที่ซื้อบ้านในประเทศพัฒนาแล้วหรือประเทศตะวันตกทั้งหลาย แม้ไม่ได้อยู่ ก็ต้องเสียภาษี หาไม่ก็ต้องถูกฟ้องร้องนำไปสู่การขายทอด นำเงินมาเสียภาษี จะนิ่งเฉย ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนแบบผู้ซื้อบ้านและห้องชุดในประเทศไทยอยู่ไม่ได้เด็ดขาด

    ประเทศไทยจึงเป็นเสมือน “รีสอร์ต” สำหรับคนรวยๆ ทั้งคนไทยและคนรวยชาวต่างประเทศเพราะถือครองทรัพย์สินต่างๆ โดยแทบไม่ต้องเสียภาษี มีโอกาสทุจริตภาษีได้ตามช่องโหว่มากมาย จึงเป็นเสมือน “นรก” ที่มีความสุขของคนรวย แต่เป็น “นรก” ของคนจนๆ  

ส่วนประเทศตะวันตกที่มีระเบียบเรียบร้อยกว่าไทย ก็เป็นประหนึ่ง “สวรรค์” แต่เป็นสวรรค์ที่ไม่ค่อยมีความสุขเพราะถูกขูดภาษีหลายอย่างเหลือเกินนั่นเอง...เราชอบ “สวรรค์ที่มีความทุกข์”  หรือ “นรกที่มีความสุข” เลือกเอาเองได้เลย.