"เฟด" ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ลงทุนอะไรดี...

"เฟด" ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ลงทุนอะไรดี...

ตลาดคาด "เฟด" จะมีการขึ้นดอกเบี้ย 5 ครั้งในปีนี้ ส่งผลกระทบต่อการลงทุนมากพอสมควรโดยเฉพาะตลาหุ้น แต่ในความเป็นจริงในบางตลาดหรือบางสินทรัพย์อาจไม่ได้รับผลกระทบ หรืออาจได้รับการตอบรับในเชิงบวก

ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วจนถึงต้นปีนี้ ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลกและตลาดตราสารหนี้ต่างปรับตัวลดลง โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐ นำโดยกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี ที่ปรับตัวลดลงมากกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ จากความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่คาด

จากคาดการณ์ของเฟดเมื่อเดือน ธ.ค. บ่งชี้ว่า คณะกรรมการของเฟดส่วนใหญ่คาดว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ อย่างไรก็ดี การที่อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องยาวนานกว่าที่คาด เฟดจึงส่งสัญญาณว่าอาจขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่ประเมินไว้ และจะเริ่มปรับลดงบดุลในเร็วๆ นี้

ทั้งนี้ ตลาดคาดว่าเฟดจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปในระหว่างวันที่ 15 – 16 มี.ค. และคาดว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 5 ครั้งในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ ณ สิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1.25 – 1.50% โดยการประชุมครั้งถัดไปจะมีการเปิดเผยคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยล่าสุด ซึ่งจะส่งผลให้มีความชัดเจนมากขึ้นว่าในปีนี้เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมดกี่ครั้ง

การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดส่งผลกระทบต่อการลงทุนมากพอสมควร โดยอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น เพื่อให้สอดรับกับทิศทางดอกเบี้ยที่กำลังจะปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง เนื่องจากต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ลดลง นอกจากนี้ ต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะส่งผลให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น และจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก 

ถึงแม้การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดดูเหมือนจะส่งผลลบต่อการลงทุนทั่วโลก แต่ในความเป็นจริงแล้วการลงทุนในบางตลาดหรือบางสินทรัพย์อาจไม่ได้รับผลกระทบ หรือ อาจได้รับการตอบรับในเชิงบวก โดยจากการเปิดเผยของลิปเปอร์ระบุว่า ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 2 ก.พ. นักลงทุนซื้อหุ้นยุโรป 1.54 หมื่นล้านดอลลาร์ และซื้อหุ้นในตลาดเอเชีย 3.16 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่ขายหุ้นสหรัฐ 7.9 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนว่าเงินลงทุนได้ไหลออกจากตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องยาวนาน และเข้าลงทุนในตลาดหุ้นอื่นๆที่ยังคงปรับตัวขึ้นไม่มาก ทั้งนี้ตลาดการลงทุนที่น่าสนใจมีดังนี้

ตลาดหุ้นสหรัฐและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลงมาแรง ส่งผลให้กลับมามีความน่าสนใจ เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่าเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่คาด ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่เฟดหลายท่านเริ่มออกมาให้ความเห็นเพื่อลดการคาดการณ์ของตลาดในเรื่องดอกเบี้ย โดยเจ้าหน้าที่เฟดบางท่านระบุว่า การปรับลดงบดุลของเฟดอาจช่วยให้ไม่จำเป็นที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว

ตลาดหุ้นยุโรปมีความน่าสนใจเนื่องจากเศรษฐกิจยุโรปยังคงอยู่ในช่วงต้นของการฟื้นตัว และหุ้นในตลาดยุโรปประกอบไปด้วยหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภคจำนวนมาก ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปมีความเสี่ยงจากการที่ธนาคารกลางยุโรปอาจลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและขึ้นดอกเบี้ย

ตลาดหุ้นจีน เป็นตลาดที่มีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นดี เนื่องจากรัฐบาลจีนมีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลังเศรษฐกิจจีนมีสัญญาณชะลอลงมาก โดยรัฐบาลจีนทยอยปรับลดดอกเบี้ย และส่งสัญญาณว่าจะปรับลดค่าธรรมเนียมและภาษีบางรายการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นจีนเป็นหนึ่งในตลาดที่มีค่า P/E ที่ถือว่าอยู่ในระดับต่ำ

กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารและการเงินจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และผลประกอบการจะได้ประโยชน์จากการขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากรายได้สุทธิจากดอกเบี้ยจะสูงขึ้นจากดอกเบี้ยในตลาดที่ปรับตัวสูงขึ้น

ตลาดหุ้นไทย เป็นตลาดที่มีความน่าสนใจอย่างมาก เนื่องจากหุ้นในตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่เป็นหุ้นขึ้นอยู่กับทิศทางเศรษฐกิจ โดยในปีนี้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น และยังไม่มีแนวโน้มที่ ธปท. จะขึ้นดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ อีกทั้งรัฐบาลมีแนวโน้มที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่องก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในปีหน้า 

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังคงไม่แพงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลก และปรับตัวขึ้นช้ากว่าตลาดหุ้นส่วนใหญ่หลังจากเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติไหลออกต่อเนื่องมาหลายปี โดยในปีนี้มีสัญญาณว่านักลงทุนต่างชาติน่าจะกลับมาลงทุนในไทยหลังจากมีแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติต่อเนื่อง ทั้งนี้ หากภาคการท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัวได้ดีก็จะเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ดี

สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ในช่วงนี้อาจลงทุนในกองทุนตลาดเงิน หรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เนื่องจากตลาดตราสารหนี้มีแนวโน้มผันผวนต่อไปก่อนที่เฟดจะส่งสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ยอีกครั้ง โดย ณ ปัจจุบัน ราคาตราสารหนี้สะท้อนว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 5 ครั้งในปีนี้ ซึ่งหากในการประชุมในเดือน มี.ค. เฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย 5 ครั้งในปีนี้ ตลาดตราสารหนี้น่าจะเริ่มทรงตัว แต่หากเฟดส่งสัญญาณว่าจะขึ้นดอกเบี้ยน้อยกว่า 5 ครั้ง การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะกลางและระยะยาวจะมีความน่าสนใจ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ควรปรับลดลงเพื่อให้สอดคล้องกับการขึ้นดอกเบี้ยน้อยกว่า 5 ครั้ง

ทั้งนี้ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล และประเมินความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุนครับ