อาลัย "ทิก เญิ้ต หั่ญ" | วรากรณ์ สามโกเศศ

อาลัย "ทิก เญิ้ต หั่ญ" | วรากรณ์ สามโกเศศ

การจากไปของ Thích Nhất Hạnh (ทิก เญิ้ต หั่ญ) ในวัย 95 ปี เมื่อเร็ว ๆ นี้สร้างความโศกเศร้าแก่ชาวโลกที่ศรัทธาในตัวท่านและคำสอน มีคนต่างชาติและคนไทยจำนวนมากเขียนถึงท่านแสดงความอาลัยและสดุดี

ผู้เขียนเคยเขียนถึงท่านอยู่เนือง ๆ เพราะท่านเป็นภิกษุนิกายมหายานในพระพุทธศาสนาที่คนรู้จักมากที่สุดในโลกท่านหนึ่ง    ผู้เขียนชอบเขียนเรื่องที่ไม่ค่อยมีคนเขียนถึง 
    แต่ครั้งนี้ขอเขียนถึงท่านอาจารย์ผู้มีคำสอนพิเศษที่ทำให้การดำเนินชีวิตที่แสนธรรมดามีความหมายขึ้นอย่างไม่เคยคิดมาก่อนและทำให้รู้ว่าการมีสตินั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับชีวิต

ลองพิจารณาสิ่งที่ท่านได้เขียนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งในจำนวนกว่า 100 เล่มของท่าน  “……...ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำหรือบินอยู่บนอากาศ     แต่ปาฏิหาริย์ของชีวิตคือการเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว
        ชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง “ธรรมดา” เช่น  ตื่นมาอาบน้ำ     แปรงฟัน    ขับรถไปทำงาน           กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิม ๆ    ตอนเย็นกลับบ้านก็เห็นหน้าภรรยา หรือสามีคนเดิม   ใส่ชุดธรรมดา    หน้าตาเราหรือก็ธรรมดา ๆ.....   เราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดา ๆ  มีชีวิตธรรมดา ๆ กันทั้งนั้น
        แต่ถ้าความ “ธรรมดา” นี้หมดไปล่ะ   เช่น   อยู่ดี ๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็ง    ไปมีเรื่องนอกบ้าน ไปติดยา    ไปคบเพื่อนไม่ดี   หรือสามี หรือภรรยาเราตาย    ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม  หรือเราถูกไล่ออกจากงาน   เราประสบอุบัติเหตุร้ายแรงเป็นอัมพาต
        เรื่องที่เคยธรรมดาก็จะ “ไม่ธรรมดา” ไปในทันที  และในเวลานั้นเองเราจะหวนมาคิดเสียดายความเป็น “ธรรมดา” จนใจแทบจะขาด.....
        สิ่งธรรมดา คือ สิ่งพิเศษ    ขอให้เรารีบชื่นชมกับความ “ธรรมดา” ที่เรามี และใช้ชีวิตกับสิ่งรอบตัวของเรา     ประหนึ่งว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล   เพราะสิ่งธรรมดา ๆ แท้จริงแล้วคือสิ่งที่พิเศษที่สุดแล้วสำหรับมนุษย์อย่างเรา.....”

อีกข้อความหนึ่ง  “.....ทุก ๆ วันชีวิตเราเกี่ยวพันกับปาฏิหาริย์อย่างที่เรามิได้ตระหนักถึง    เราเห็นท้องฟ้าสีคราม     ปุยเมฆขาว   ใบไม้เขียวและดวงตาสีดำอันอยากรู้อยากเห็นของเด็กน้อยด้วยดวงตาทั้งสองข้างของเรา…..ทั้งหมดนี้คือปาฏิหาริย์”.....”     ถ้าเราไม่เห็นว่ามันเป็นปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นทุกวันแล้ว   เราคงเป็นมนุษย์ที่เขลาเอามาก ๆ ทีเดียว

อาลัย \"ทิก เญิ้ต หั่ญ\" | วรากรณ์ สามโกเศศ
        คำว่า Thích (ทิก) นั้น ในเวียดนามใช้เรียกพระอันมีความหมายว่าเป็นผู้สืบทอดพุทธศาสนา   ส่วน Nhất Hạnh (เญิ้ต หั่ญ) เป็นชื่อทางธรรมของท่าน     คนเวียดนามมักเรียกท่านว่า “ไถ่”  ซึ่งแปลว่าอาจารย์เช่นเดียวกับศิษย์ต่างชาติ   แต่ศิษย์ชาวเวียดนามบางส่วนเรียกท่านว่า “ซือองม์” ซึ่งแปลว่าหลวงปู่ ในที่นี้ขอเรียกท่านว่า “ไถ่”
        ไถ่บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 16 ปี ณ วัดตื่อเฮี้ยว ในเมืองเว้   เมื่ออายุได้ 23 ปี ใน พ.ศ. 2492 ก็อุปสมบทเป็นพระภิกษุ  มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูพุทธศาสนาและเขียนบทความเสนอความคิดจนถูกต่อต้านจากผู้นำองค์กรชาวพุทธและรัฐบาลในขณะนั้น  

ในปี พ.ศ. 2505  ไถ่ได้รับทุนไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตันเพื่อศึกษาศาสนาเปรียบเทียบและได้เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย     หลังจากนั้นไม่นานก็เดินทางกลับเวียดนามท่ามกลางสงครามเวียดนามที่เริ่มร้อนระอุ
        ไถ่ต่อสู้เพื่อสันติภาพโดยไม่เข้าข้างสหรัฐอเมริกา หรือเวียดกง(กลุ่มต่อสู้จากเวียดนามเหนือ)   ไถ่เป็นผู้นำพระสงฆ์ในการรณรงค์ต่อสู้เพื่อสันติภาพของชาวเวียดนามทั้งมวล     ไถ่ต่อสู้จนอยู่ไม่ได้  ต้องลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศเป็นเวลายาวนานเกือบ 40 ปี  ซึ่งตลอดเวลานั้นไถ่เดินทางไปนานาประเทศเพื่อเผยแพร่คำสอนของพุทธศาสนา
        ไถ่สอนพุทธศาสนาแบบไม่วางไว้บนหิ้ง  หากเอามาใส่ไว้ในชีวิตประจำวันอย่างสามารถเอาคำสอนมาปฏิบัติได้  

เรื่องสำคัญที่ไถ่ได้สอนตลอดชีวิตก็คือการมีสติ (mindfulness)   โดยหมายถึงการตระหนักถึงทุกสิ่งที่เราทำอยู่ตลอดเวลา    การมีสติคือแสงสว่างที่ส่องไปยังความคิด  ความรู้สึก  การกระทำ และคำพูดทั้งหมดของเรา   ไถ่กล่าวว่าการมีสติทำให้ตื่นตัว   ตระหนักถึงความคิด      การกระทำ และสิ่งที่อยู่รอบตัวเราทุกขณะจิต     สติคือความระลึกได้    นึกได้      ความไม่เผลอ    การคุมใจไว้กับกิจหรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้อง
        ไถ่สอนว่าการควบคุมลมหายใจ (การทำสมาธิ) คือการเชื่อมต่อระหว่างจิตใจกับร่างกายจึงเป็นหนทางที่ช่วยทำให้เกิดการมีสติขึ้น  การตระหนักในการควบคุมลมหายใจช่วยให้เราจัดการกับอารมณ์เช่นความโกรธ    ความกลัว   ความกระวนกระวายใจและ ความผิดหวังได้เป็นอย่างดี     อีกทั้งทำให้เกิดความสุขซึ่งมาจากข้างใน   นอกจากนี้การมีสติคือหนทางไปสู่การดำรงชีวิตอย่างมีจริยธรรมอีกด้วย
        ไถ่อุทิศชีวิตให้แก่การสร้างสันติภาพ     ความเมตตากรุณา     ความรักความปรารถนาดีต่อกัน และการมีความสุขของมวลมนุษย์     ด้วยความสามารถอันแตกฉานด้านภาษาอังกฤษภาษาฝรั่งเศสและภาษาจีน  ทำให้การเผยแพร่คำสอนไปได้กว้างไกล  ในหนังสือกว่า 100 เล่มที่เขียนนั้น 40 เล่มเป็นภาษาอังกฤษ  

นอกจากนี้ไถ่ได้จัดตั้งหมู่บ้านพลัม (Plum Village) ขึ้นในฝรั่งเศส และต่อมาในอีกหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วยรวม 22 แห่งเพื่อเป็นชุมชนแบบอย่างแห่งการปฏิบัติธรรมที่เน้นการเจริญสติ    อย่างไรก็ดีไถ่ไม่สามารถกลับเวียดนามบ้านเกิดได้จนเกือบ 40 ปีผ่านไปและตั้งแต่ 2561 เป็นต้นมาไถ่ก็ได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่วัดดั้งเดิมที่เคยบวชในเมืองเว้ และก็สิ่นชีวิตที่บ้านเกิดแห่งนี้ด้วย
        ในเรื่องการศึกษาที่ไถ่สนใจเป็นพิเศษก็กล่าวไว้ว่าโรงเรียนสามารถสอนได้มากกว่าการอ่าน   การเขียน การคิดเลข และการเรียนวิทยาศาสตร์    เพราะสามารถสอนเด็กให้สามารถจัดการความโกรธ   ขจัดข้อขัดแย้ง  พัฒนาเปลี่ยนแปลงตนเองได้ด้วยการมีสติ      

โดยเริ่มจากการมีครูที่มีสติก็จะสามารถถ่ายทอดการมีสติไปสู่เด็กได้     ห้องเรียนต้องให้โอกาสที่สองแก่เด็กที่พ่อแม่ไม่สามารถสร้างบรรยากาศของความรักและสิ่งแวดล้อมแห่งความสุขได้     ครูและโรงเรียนต้องช่วยกันทำให้เกิดการสื่อสารที่แฝงไว้ด้วยความเมตตากรุณาในห้องเรียน  ตลอดจนสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยและสร้างการเยียวยาให้แก่เด็กเหล่านี้
        ไถ่จากไปแล้วดั่งที่เคยสอนมาตลอดว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา   ชีวิตมาแล้วก็ไปโดยผ่านร่างที่เราอาศัยอยู่  เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องปกติ   ไม่มีอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลง   การมีสติจะช่วยให้เรามีชีวิตท่ามกลางสภาพเช่นนี้ได้อย่างมีความสุข    สำหรับศิษย์แล้ว การมีสติในชีวิตประจำวันแท้จริงแล้วก็คือการบูชาคุณความดีงามที่ไถ่ได้ทำไว้ให้แก่มนุษยชาติ