เมื่อ‘เทคโนโลยีดิจิทัล’กำลัง เปลี่ยนรูปแบบการทำงาน

เมื่อ‘เทคโนโลยีดิจิทัล’กำลัง เปลี่ยนรูปแบบการทำงาน

กลับมาทำงานสัปดาห์แรกของปีนี้ ผมได้รับเชิญไปบรรยายให้กับนักศึกษาปีหนึ่งสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางออนไลน์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับงานและโลกในอนาคต

กลับมาทำงานสัปดาห์แรกของปีนี้ ผมได้รับเชิญไปบรรยายให้กับนักศึกษาปีหนึ่งสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางออนไลน์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับงานและโลกในอนาคต แต่ด้วยวัยของผมอาจมีช่องว่างที่จะบอกเด็กรุ่นใหม่ว่าควรทำงานอะไรเมื่อเรียนจบ เพราะเราอาจเริ่มไม่เข้าใจความต้องการของคนรุ่นใหม่แล้ว

โลกได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ยุคที่ผมเรียนหนังสือและจบออกมาทำงานนั้นวิธีคิดของเราย่อมไม่เหมือนกับเด็กยุคนี้ ในยุคนั้นคอมพิวเตอร์ยังมีอยู่น้อย ไม่มีอินเทอร์เน็ต คนในยุคนั้นยังใฝ่ฝันทำงานตามสายงานที่เรียนจบมา ต้องการหาอาชีพที่มั่นคง มองว่าการทำงานให้กับหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไปจนเกษียณอายุเป็นเรื่องปกติ

แต่คนรุ่นใหม่ที่กำลังเล่าเรียนอยู่ เขากำลังก้าวสู่ยุคการเปลี่ยนแปลงที่ได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยีดิจิทัล และผลกระทบของวิกฤติโควิด-19 ก็ยิ่งซ้ำเติมทำให้การทำงานในอนาคตของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก อาชีพในอนาคตอาจเป็นอาชีพใหม่ที่ยังไม่มีการบัญญัติศัพท์ในวันนี้เสียด้วยซ้ำ ดังที่เราจะเห็นได้ว่าเด็กรุ่นใหม่ในวันนี้ หลายคนอยากเป็น Youtuber เป็นนักเล่นเกมส์ ที่ผู้ใหญ่หลายคนอาจไม่เข้าใจว่าอาชีพเหล่านี้จะสร้างรายได้ให้กับพวกเขาได้อย่างไร และมีความมั่นคงเพียงใด

แม้เราอาจจะไม่สามารถให้คำแนะนำเรื่องอาชีพต่างๆ กับคนรุ่นใหม่ได้ แต่ที่แน่นอนที่สุดคือ เราคาดการณ์ได้ว่า คนรุ่นนี้กำลังโตขึ้นมากับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและพยากรณ์ได้ยากว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดังนั้นสิ่งที่เราสามารถจะบอกพวกเขาได้คือ เขาจะต้องพร้อมที่จะปรับตัวได้ตลอดเวลา พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ และในอนาคตอาจไม่สามารถประกอบอาชีพหนึ่งอาชีพเดียวไปตลอดชีวิตได้เหมือนเดิม และเป็นไปได้ว่าอาชีพที่มั่นคงที่สามารถทำงานได้ไปตลอดจนเกษียณก็อาจจะไม่มีแล้ว แม้แต่งานราชการในอนาคตก็ตาม
 

ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้ผู้คนสามารถทำงานได้ทุกที่ ทุกเวลา และทุกอุปกรณ์ ทำให้เกิดการทำงานแบบไร้พรมแดน เพื่อนร่วมงานของเราจะอยู่จากที่ใดในโลกก็ได้ ทำงานด้วยกันโดยไม่เคยเจอตัวจริงก็ได้ ดังนั้นงานในอนาคตไม่สำคัญว่า เราจะทำงานมาจากที่ใด ทำงานกับใคร แต่สิ่งที่สำคัญสุดคือความสามารถและทักษะในการทำงานแบบใหม่ ที่สามารถจะส่งมอบงานให้กับผู้ว่าจ้างได้ และต้องพร้อมที่เปลี่ยนงานได้ตลอดเวลา

ดังนั้นเด็กในยุคใหม่จะประกอบอาชีพที่หลากหลายในเวลาเดียวกัน เทำงานให้กับหลายหน่วยงาน ทำงานแบบออนไลน์ที่อาจไม่จำเป็นต้องไปทำงานที่ออฟฟิศก็ได้

ผมได้อ่านผลการศึกษาของหนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal และบริษัท CBRE ที่กล่าวถึง รูปแบบของออฟฟิศในปี 2030 ซึ่งระบุไว้อย่างน่าสนใจว่า สิ่งที่เราต้องการในการทำงานในอนาคต ไม่ใช่ที่ทำงาน (Workplace) หรือออฟฟิศในแบบเดิมๆ แต่จะเป็นสถานที่ในการทำงาน (Place to Work) ที่ซึ่งเราสามารถจะนั่งทำงานได้ ด้วยความสงบหรือมีบรรยากาศที่เหมาะกับการทำงานของเรา ดังนั้นจึงไม่แปลกใจถ้าจะเห็นว่าอนาคตคนจะไปที่ทำงานน้อยลง แต่จะทำงานมาจากที่ต่างๆ ทั้งที่บ้าน หรือแม้แต่ร้านกาแฟ

หน่วยงานที่จะไปทำงานในอนาคต ก็อาจไม่ใช่บริษัทขนาดใหญ่แบบเดิม แต่อาจเป็นหน่วยงานเล็กที่มีความคล่องตัว ตำแหน่งและสายบังคับบัญชาต่างๆ ก็แคบลง ทุกคนมีความเป็นผู้นำในแต่ละด้าน มีความอิสระในการทำงานมากขึ้น และสามารถที่จะนำเสนอความคิดในเชิงสร้างสรรค์ได้ง่ายขึ้น

รูปแบบการทำงานที่มีโต๊ะทำงานประจำจะหายไป คนที่ไปทำงานมีการผลัดเปลี่ยนมาใช้โต๊ะทำงานที่แชร์ร่วมกัน การประชุมออนไลน์กลายเป็นเรื่องปกติ การระดมความเห็นทางออนไลน์ทำได้ง่ายขึ้น และในอนาคตคนทำงานก็จะใช้เทคโนโลยี AR และ VR ช่วยในการสื่อสารระหว่างการทำงานเพื่อให้เห็นภาพเสมือนจริง

โลกของการทำงานกำลังเปลี่ยนไปทั้งเรื่องของตำแหน่งงาน ทักษะที่ต้องการ รูปแบบของหน่วยงาน รวมถึงสถานที่ทำงาน ดังนั้นสิ่งสำคัญคือเราจำเป็นต้องปรับตัวทำงานในรูปแบบใหม่ๆ เหล่านี้ได้ และต้องพร้อมที่จะปรับองค์กรให้เปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับการทำงานของคนรุ่นใหม่ที่จะออกมาเป็นกำลังสำคัญขององค์กรต่อไป