“เจ้านาย” ชอบ WFO หรือทำงานที่ออฟฟิศ | วรากรณ์ สามโกเศศ

“เจ้านาย” ชอบ WFO หรือทำงานที่ออฟฟิศ | วรากรณ์ สามโกเศศ

WFH (work-from-home หรือทำงานจากบ้าน) เป็นวิธีการทำงานใหม่ของทั่วโลกในช่วงการระบาดของโควิด-19 แต่เมื่อเห็นว่ามนุษย์พอจะกำราบมันได้แล้ว คำถามก็เกิดขึ้นว่าต่อนี้ไปจะทำงานกันอย่างไร

รูปแบบการทำงานจะเน้น WFH เหมือนเดิมซึ่งเป็นที่พอใจของพนักงานส่วนใหญ่หรือจะเน้น WFO (work-from-office หรือทำงานที่ออฟฟิศ) คล้ายแต่ก่อน    การสำรวจในโลกตะวันตกพบว่าผู้บริหารส่วนมากต้องการให้กลับไปทำงานแบบเก่า    สิ่งที่น่าสนใจก็คือเหตุผลของการชอบแบบออฟฟิศมากกว่า
    บางคนบอกว่าควรเปลี่ยน WFH เป็น WAH (work-at-home หรือทำงานที่บ้าน)  เพราะเห็นภาพชัดเจนกว่า  บ้างก็บอกว่าควรเป็น WFA (work-from-anywhere  หรือทำงานที่ไหนก็ได้)   ก็แล้วแต่จะว่ากันไปตามใจชอบ  แต่ที่แน่ ๆ ก็คือเป็นการทำงานที่ไม่ใช่ที่ออฟฟิศอย่างที่เคยเป็นมากว่า 200 ปีในโลก 

ในช่วงการระบาดคนที่น่าเห็นใจมากที่สุดก็คือพ่อแม่ (ที่หนักกว่าก็คือพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว) ที่มีลูกอยู่ในวัยต่ำกว่าวัยรุ่น โดยเฉพาะในวัยเรียนอนุบาลหรือช่วงชั้นที่หนึ่ง (ประถม 1-3)  ซึ่งเรียนออนไลน์ที่บ้านและตัวเองต้องทำงานแบบ WFH ในขณะเดียวกันด้วย     
    ไหนจะต้องเหลือบมองดูลูกให้แน่ใจว่านั่งเรียนอย่างเป็นสุข   สัญญาณอินเตอร์เน็ตไม่มีปัญหา   มีการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพเท่าที่พอไปได้และตนเองก็ต้องประชุมออนไลน์ไปด้วยในเวลาเดียวกัน     คนเหล่านี้โล่งอกมากเมื่อโรงเรียนเปิดและให้ไปเรียนที่โรงเรียน

เราต้องยอมรับกันว่า WFH แบบออนไลน์ที่มาถึงแบบไม่คาดฝันนั้นทำให้การทำงานปั่นป่วนไปหมดเพราะไม่ได้เตรียมการไว้ทั้งที่ WFH ผ่านเทคโนโลยีไอที (เป็นการผสมของเทคโนโลยีโทรคมนาคมกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์) นั้นมีมานานแล้วถึงแม้จะไม่สมบูรณ์นักก็ตาม     

“เจ้านาย” ชอบ WFO หรือทำงานที่ออฟฟิศ | วรากรณ์ สามโกเศศ
    ปัจจัยที่ทำให้ WFH ประสบความสำเร็จนั้นมีอยู่ด้วยกันไม่น้อยกว่า  5 ปัจจัย   ดังต่อไปนี้
(1) ลักษณะงาน   บางงาน WFH นั้นเป็นไปไม่ได้เลย  เช่น  บริการตัดผม     ทำความสะอาด    ขับรถรับจ้าง   ทำกับข้าว    งานไกด์ท่องเที่ยว   งานของ รปภ.  ฯลฯ   WFH ใช้ได้กับงานเฉพาะอย่างเท่านั้น

(2) ระบบการทำงาน    ถ้าออฟฟิศไม่มีการจัดระบบการทำงานที่เชื่อมต่อถึงกันด้วยการใช้ระบบดิจิตัลแล้ว    WFH ก็แทบเป็นไปไม่ได้   
(3)  digitalization  ซึ่งหมายถึงกระบวนการแปรเปลี่ยนข้อมูลเป็นรูปแบบดิจิตัลซึ่งมิใช่ digitalization  ซึ่งเป็นเพียงการเปลี่ยนข้อมูลอนาล็อกเป็นดิจิตัลเท่านั้น    digitalization ขององค์กรเป็นหัวใจของ WFH ในความหมายที่เราพูดกัน  

ส่วน WFH แบบสมัยโบราณที่เอาแฟ้มและเอกสารกลับไปทำงานที่บ้านนั้นเป็นคนละประเด็น     ถ้าออฟฟิศใดยังมีกระบวนทำงานส่วนใหญ่แบบโบราณแล้ว    ถึงจะมี WFH แต่การทำงานก็ไม่มีประสิทธิภาพมากเพราะขาดเอกสาร     การได้ทำงานที่บ้านก็เปรียบเสมือนได้พักผ่อน.

(4)  สิ่งแวดล้อมและอุปกรณ์   WFH จะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อคนที่ทำงานที่บ้านนั้นมีอุปกรณ์ในการสื่อสารที่พร้อม   มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่มีคุณภาพ  และที่บ้านมีสิ่งแวดล้อมอันเหมาะสมสำหรับการทำงาน   ไม่มีสิ่งรบกวนใจจนขาดสมาธิ   
(5)  การเข้าใจโลก    ซึ่งหมายถึงมี mindset ที่สอดคล้องกับ WFH   กล่าวคือมีศรัทธา   เห็นความจำเป็น และมีความมุ่งมั่นที่จะรักษาคุณภาพของงานและ ผลิตภาพเช่นเดียวกับที่ทำงานที่ออฟฟิศ   อีกทั้งพร้อมที่จะพัฒนาปรับตัวตามความจำเป็นที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ถ้าไม่หลอกตัวเอง เราคงต้องยอมรับกันว่าในช่วงเวลาระบาดที่ผ่านมา     บ้านเราขาดปัจจัยหลายอย่างข้างต้นโดยเฉพาะ  (2)    (3)   และ (4)   จึงทำให้ WFH สำหรับหลายหน่วยงานและหลายคนกลายเป็น WH (working holiday หรือพักผ่อนแบบทำงานไปด้วย)   หลังจากนี้ไปการปรับตัวครั้งใหญ่ต้องเกิดขึ้นเพราะหลีกเลี่ยง WFH ไม่ได้ดังนั้นจึงต้องทำให้มันมีประสิทธิภาพมากกว่าที่ผ่านมา

“เจ้านาย” ชอบ WFO หรือทำงานที่ออฟฟิศ | วรากรณ์ สามโกเศศ

WFH นั้นมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ      มีการสำรวจระดับโลกพวกทำงานประเภทใช้ความรู้โดยบริษัทชื่อ Slack รายงานล่าสุดเดือนตุลาคม 2021 ระบุว่าผู้บริหารระดับสูงยังต้องการให้มีการทำงานที่ออฟฟิศมากกว่า WFH    โดยร้อยละ 75 ของผู้บริหารต้องการให้ทำงานที่ออฟฟิศมากกว่า 3 วันต่อสัปดาห์   ในขณะที่เพียงร้อยละ 34 ของลูกน้องเท่านั้นที่ต้องการสิ่งเดียวกัน

นิตยสาร The Economist ที่ตีพิมพ์ต่อเนื่องมา 178 ปี  ให้ 3  คำอธิบาย  ดังนี้   
(1)  ผู้บริหารมีความสุขกับสถานะของตน   ได้เห็นลูกน้องนั่งทำงานเต็มออฟฟิศที่โต๊ะธรรมดา แต่ตนเองมีห้องใหญ่โตปูพรม     เวลาประชุมก็นั่งหัวโต๊ะ    พอเดินไปตรวจงานทีก็มีคนแห่แหนห้อมล้อม ( ฟังดูคุ้น ๆ)   แต่เมื่อมี WFH และประชุมออนไลน์แล้วสิ่งเหล่านี้ที่ทำให้รู้สึกว่ามีอำนาจก็หมดไปทันที     
(2)  ผู้บริหารเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าการมีปฏิสัมพันธ์ชนิดตัวเป็น ๆ ระหว่างคนทำงานด้วยกันเป็นสิ่งที่ดีขององค์กร  WFH ทำให้ขาดความเป็นมนุษย์  ไม่ช่วยสร้างวัฒนธรรมองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ ซึมซับประสบการณ์กันในการบริหาร และการร่วมมือกันทำงาน
ข้อกังวลนี้เป็นจริงเพราะโดยธรรมชาติมนุษย์ก็ทำงานกันเป็นไซโล (silo โรงเก็บสินค้าโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เกษตร) อยู่แล้ว  เพียงแค่อยู่กันคนละชั้นของที่ทำงานก็ทำให้แปลกแยกแล้ว     นับประสาอะไรกับการทำงานแบบ WFH    เพราะคนยิ่งห่างกันทางกายก็ยิ่งห่างกันทางใจ
(3)  ผู้บริหารทั้งหมดล้วนประสบความสำเร็จภายใต้ระบบเก่าแบบทำงานที่ออฟฟิศ จึงมีทางโน้มที่จะศรัทธาในระบบ WFH น้อยกว่าเป็นธรรมดา อีกทั้ง      WFH เป็นระบบที่ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าเป็นประโยชน์ต่อองค์กรอย่างแท้จริง      สิ่งที่เห็นกันในตอนนี้ก็คือความสะดวกการลดลงของค่าโสหุ้ยในเรื่องการเดินทาง   ค่าใช้จ่ายของออฟฟิศ    เงินลงทุนในการสร้างออฟฟิศ     ฯลฯ   

    เหตุผลอีกข้อของการชอบการทำงานแบบเดิมมากกว่าก็เพราะอาจรู้ว่าองค์กรยังไม่พร้อมกับ WFH  ควรกลับไปทำงานที่ออฟฟิศและปรับกระบวนการทำงานก่อนที่จะเดินเส้นทางนี้อย่างจริงจังต่อไปก็เป็นได้
    WFH นั้นเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของโลกที่ไม่มีใครปฏิเสธได้    มันจะอยู่กับเราไปอีกนาน และก้าวหน้าไปถึงเสมือนอยู่ในห้องประชุมเดียวกัน (หากจำเป็น)  แต่สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามก็คือการพิจารณาปัจจัยที่ช่วยทำให้ WFH ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องระบบการทำงานและ digitalization ขององค์กร     อีกทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อมและอุปกรณ์ที่บ้านตลอดจน mindset ของผู้ทำงาน
    หลังโควิดระบาด หากไม่สนใจและปรับเปลี่ยน WFH อย่างจริงจังแล้วก็อาจพบกับ working -holiday -at- office และ at-home ดังที่เป็นมาแล้วก็เป็นได้.