การใช้สิทธิบนที่ดินที่เป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย | สกล หาญสุทธิวารินทร์

การใช้สิทธิบนที่ดินที่เป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย | สกล หาญสุทธิวารินทร์

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1335 บัญญัติว่า "ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ท่านว่าแดนแห่งกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นกินทั้งเหนือพื้นดินและใต้พื้นดินด้วย"

 จากบทบัญญัติดังกล่าว เจ้าของที่ดินมีสิทธิเหนือพื้นดินขึ้นไปบนท้องฟ้าและลึกลงไปใต้ดินด้วย และก็มิใช่หมายความว่าเจ้าของที่ดินสามารถทำอะไร ก่อสร้างสิ่งใดฯบนพื้นดินนั้น หรือขุดลงไปใต้พื้นดินตามที่ต้องการได้อย่างอิสระ  เพราะมีข้อจำกัดตามบทบัญญัติของกฎหมายเฉพาะหลายฉบับและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
                  ข้อจำกัดตามที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีดังนี้
                 มาตรา1341 ท่านห้ามมิให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ทำหลังคาหรือการปลูกสร้างอย่างอื่นซึ่งทำให้น้ำฝนตกลงยังทรัพย์สินซึ่งอยู่ติดกัน 
               มาตรา1342 บ่อ สระ หลุมรับน้ำโสโครก หรือหลุมรับปุ๋ยหรือขยะมูลฝอยนั้น ท่านว่าจะขุดในระยะสองเมตรจากแนวเขตที่ดินไม่ได้ 

คูหรือการขุดร่องน้ำเพื่อวางท่อน้ำใต้ดินหรือสิ่งอื่นซึ่งคล้ายคลึงกัน ท่านว่าจะทำใกล้แนวเขตที่ดินกว่าครึ่งแห่งส่วนลึกของคูหรือร่องนั้นไม่ได้

 ถ้ากระทำการดังกล่าวไว้ในสองวรรคก่อนใกล้แนวเขตไซร้ ท่านว่าต้องใช้ความระมัดระวังตามสมควร เพื่อป้องกันมิให้ดินหรือทรายพังลง หรือมิให้น้ำหรือสิ่งโสโครกซึมเข้าไป
            บทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เป็นข้อจำกัดสิทธิเจ้าของที่ดิน และเป็นบทบัญญัติที่คุ้มครองสิทธิ ของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์อื่นไม่ให้ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อน ที่สำคัญที่สุดคือมาตรา1337 ที่บัญญัติว่า "บุคคลใดใช้สิทธิของตนเป็นเหตุให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหาย หรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรในเมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่แห่งทรัพย์สินนั้นมาคำนึงประกอบไซร้ ท่านว่าเจ้าของอสังหาริมทรัพย์มีสิทธิจะปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไป ทั้งนี้ไม่ลบล้างสิทธิที่จะเรียกเอาค่าทดแทน”
                  การจำกัดสิทธิและการคุ้มครองเจ้าของอสังหาริมทรัพย์อื่นมีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าจะถือเป็นบรรทัดได้ คือ
      -    การก่อสร้างสะพานปิดหน้าที่ดินผู้อื่นถือว่าผู้อนุมัติก่อสร้างทำละเมิดด้วย
             คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 40/2502 ทำสะพานลงในคลองเป็นทางเดิน แต่ปิดหน้าที่ดินของเอกชน ทำให้เจ้าของที่ดินนั้นขึ้นลงคลองตามปกติไม่ได้ เจ้าของที่ดินเรียกให้รื้อเสียได้กรณีต้องด้วยมาตรา 1337 เทศบาลและจังหวัดมีหน้าที่ดูแลรักษาที่สาธารณสมบัติไม่มีอำนาจอนุญาตและอนุมัติให้ทำสะพานเช่นนั้น การที่อนุญาตและอนุมัติเป็นการละเมิดเช่นเดียวกัน

   -   ปลูกโรงเรือนขวางที่ดินกับคลองกีดขวางที่ดินผู้อื่น ถูกฟ้องให้รื้อได้
                  คำพิพากษาศาลฎีกาที่1055/2506   แม้โรงเรือนของจำเลยจะไม่บังที่ดินของโจทก์ด้านถนนหลวงแต่ก็ปลูกอยู่ ในที่ชายตลิ่งด้านที่ที่ดินโจทก์ติดริมคลอง เป็นที่กีดขวางระหว่างที่ดินของโจทก์กับคลอง ทำให้ที่ดินของโจทก์ด้านนั้นถูกริดรอนความสะดวกไปบ้าง โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องจำเลยให้รื้อถอนโรงเรือนไปเสียได้ตามมาตรา 1337
                คำพิพากษาศาลฎีกาที่1036/2506   ที่ดินชายตลิ่งตรงที่จำเลยปลูกโรงเรือน เป็นที่กีดขวางดินของโจทก์กับคลองบอด ทำให้ที่ดินโจทก์ทางด้านนั้นถูกริดรอนความสะดวกไปบ้างโจทก์ได้รับความเดือดร้อนเพราะถูกบังหน้าที่ดินทางด้านริมคลองเช่นนี้  ย่อมมีสิทธิที่จะให้จำเลยปฏิบัติเพื่อขจัดการนั้นให้สิ้นไปได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1337    

การใช้สิทธิบนที่ดินที่เป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย | สกล หาญสุทธิวารินทร์    
               -   มาตรา1337 คุ้มครองที่ดินแต่ละแปลง
              คำพิพากษาฎีกาที่ 2072/2517  บ้านจำเลยปลูกอยู่ที่ชายตลิ่งบังหน้าที่ดินของโจทก์ จำเลยจะอ้างว่าโจทก์มีท่าน้ำบนที่ดินอีกแปลงลงคลองและใช้คลองได้ สะดวก ไม่เสียหายไม่ได้ เพราะ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337 คุ้มครองสิทธิ ของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ (ที่ดิน)แต่ละแปลงไป
            -  สำคัญผิดเจตนาใช้สิทธิตามมาตรา1337 ไม่ผิดทำให้เสียทรัพย์
               คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2519 จำเลยเข้าใจว่าเสารั้วของโจทก์ที่ขุดหลุมปักไว้อยู่ในที่ดินของจำเลย จำเลยจึงถอนออก โดยเจตนาใช้สิทธิตาม ป.พ.พ. ม.1336,1337ไม่เป็นความผิดตาม ป.อาญา ม.358
            -   ทำรั้วสูงบังลมบังแสง
                  คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 829 /2519  จำเลยเสริมรั้วบ้านให้สูงขึ้นจนปิดกั้นแสงสว่าง แสงแดดและทางลม มิให้เข้ามาในบ้านของโจทก์ดังนี้ตามมาตรา 1337 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นอกจากโจทก์จะมีสิทธิปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนให้สิ้นไปแล้ว ยังมีสิทธิที่เรียกค่าทดแทนได้ด้วย
          -  วางกระถางต้นไม้หน้าอาคารบังทางเข้าออก
            คำพิพากษาศาลฎีกาที่624/2544  วางกระถางต้นไม้หน้าอาคารบังทางเข้าออก เข้าข่ายทำให้เสียหายตามมาตร1337
           - สร้างกำแพงสูง         
              คำพิพากษาศาลฎีกา ที่1510/2528 จำเลยสร้างรั้วกำแพงทึบสูงเกินสมควร เป็นเหตุให้บังแสงสว่าง และทางลม โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องตามาตรา1337ให้รื้อรั้วได้           
                -  กลิ่นรบกวนแค่กำจัดกลิ่นก็พอ
             คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1639/2555โจทก์เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนจากกลิ่นจากฟาร์มเลี้ยงสุกรโดยคำฟ้องของโจทก์มีคำขอให้จำเลยทั้งสองกำจัดสิ่งปฏิกูลที่รบกวนสุขภาพอนามัยของโจทก์ด้วย แสดงให้เห็นว่าการขจัดความเดือดร้อนที่โจทก์ได้รับอาจทำได้โดยวิธีอื่น หาใช่ต้องขับไล่จำเลยทั้งสองตามฎีกาของโจทก์ อันเกินกว่าเหตุ
            -   ปลูกสร้างบ้านบังหน้าที่ดิน
                คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 387 - 388/2550
               จำเลยปลูกสร้างบ้านบังหน้าบริเวณที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์ออกสู่ทะเลหลวงไม่ได้หรือไม่สะดวก โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายเป็นกรณีพิเศษโจทก์ย่อมมีสิทธิปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายให้สิ้นไปโดยฟ้องจำเลยให้รื้อถอนบ้านพิพาทที่กีดขวางทางที่โจทก์เข้าออกสู่ทะเลหลวงไปได้

การใช้สิทธิบนที่ดินที่เป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย | สกล หาญสุทธิวารินทร์
           -   ที่ดินที่เป็นที่เช่าก็ได้รับการคุ้มครอง
                คำพิพากษาศาลฎีกาที่877/2546      แม้โจทก์จะเป็นเพียงผู้เช่าที่ดิน แต่การเช่าดังกล่าวก็เพื่อประโยชน์ในกิจการโรงแรม เมื่อโจทก์เป็นเจ้าของโรงแรมอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษจากการกระทำของจำเลยทั้งสาม จึงย่อมมีอำนาจฟ้องให้ขจัดความเดือดร้อนนั้นได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 421 และมาตรา 1337 
                 ข้อสรุป ตามบทบัญญัติของป.พ.พ.มาตรา1337 และแนวคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวข้างต้น กรณีตามที่เป็นข่าวที่ เจ้าของที่ดินแห่งหนึ่งถมที่ดินและทำรั้วสูงประชิดหลังคาบ้านของเจ้าของบ้านลายรายในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งที่อยู่ติดกัน จนได้รับความเสียหายเดือดร้อน เจ้าของบ้านดังกล่าวฟ้องเจ้าของที่ดินรายนั้นให้ขจัดความเดือดร้อนตามมาตรา1337 และเรียกร้องค่าเสียหายได้