“ธนาคารออนไลน์” ระบบมีปัญหา หรือเราขาดความ "ตระหนัก"

“ธนาคารออนไลน์” ระบบมีปัญหา หรือเราขาดความ "ตระหนัก"

ข่าวที่คนจำนวนหนึ่งถูกฉ้อฉล จากการหักเงินในบัญชีธนาคารแบบออนไลน์ผ่าน “บัตรเครดิต” หรือ “บัตรเดบิต” นั้นทำให้หลายคนเกิดความกังวล จะเลิกใช้บริการธนาคารออนไลน์ ทั้งที่จริงแล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยีเสียทีเดียว แต่เป็นเรื่อง “ความตระหนัก” มากกว่า

ข่าวที่คนจำนวนหนึ่งถูกฉ้อฉล จากการหักเงินในบัญชีธนาคารแบบออนไลน์ผ่าน “บัตรเครดิต” หรือ “บัตรเดบิต” นั้นทำให้หลายคนเกิดความกังวลการใช้บริการออนไลน์ต่างๆ ถึงกับกลัวว่า จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับตัวเอง บ้างคิดว่า จะเลิกใช้บริการธนาคารออนไลน์ ทั้งที่จริงแล้ว ปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยีเสียทีเดียว แต่เป็นเรื่อง “ความตระหนัก” มากกว่า

ผมใช้บริการออนไลน์ของธนาคารมานานมากกว่า 15 ปีแล้ว ตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการช่วงแรก การทำธุรกรรมยังล่าช้า เรื่องความปลอดภัยยังเป็นเรื่องใหม่ ไม่มีการส่ง OTP หรือการตรวจสอบกลับมามากมายเท่าปัจจุบัน ที่จัดว่าระบบความปลอดภัยดีขึ้นมากแล้ว

ผมเห็นพัฒนาการบริการออนไลน์ธนาคารต่างๆ ดีขึ้นและปลอดภัยขึ้น ทำให้ผมเริ่มหันไปใช้การทำธุรกรรมออนไลน์มากขึ้นจนปัจจุบันแทบไม่ได้ทำธุรกรรมแบบออฟไลน์ และแทบไม่ไปสาขาของธนาคารเลย ปัจจุบันผมใช้บริการโมบายแบงกิ้งของธนาคารต่างๆ หลายแห่ง และทุกบัญชีของผมใช้ระบบออนไลน์ทั้งหมด รวมทั้งเงินกองทุนต่างๆ ก็ทำธุรกรรมผ่านระบบออนไลน์ธนาคาร รวมถึงบัตรเครดิตต่างๆจะมีโมบายแอพที่ผูกอยู่ และสามารถดูยอดการใช้จ่ายและการทำธุรกรรมได้

นอกจากระบบออนไลน์ของธนาคาร ผมยังใช้ระบบการชำระเงินผ่านกระเป๋าเงินมือถือ (mobile wallet) อีกหลายแอพ ระบบออนไลน์ต่างๆ เหล่านี้ทำให้การทำธุรกรรมการเงินเราสะดวกสบายมากขึ้น รวดเร็วขึ้น ลดใช้เงินสด แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น ถ้าผู้ใช้ขาดความระมัดระวัง ขาดความรู้ที่ดีพออาจเป็นเหยื่อฉ้อโกงออนไลน์อย่างที่เราเห็นในข่าว

สำหรับผมแล้วการใช้บริการธุรกรรมการเงินออนไลน์ จำเป็นจะต้องนำวิธีคิดการใช้งานแบบออฟไลน์ปกติมาประยุกต์ใช้เช่นกัน ไม่ใช่คิดว่าเมื่อใช้ง่ายแล้ว จะใช้อย่างขาดความตระหนัก เช่น การใช้บัตรเครดิต โดยทั่วไปเราก็ระมัดระวังที่จะยื่นบัตรเครดิตเราให้คนใดคนหนึ่งนำไปใช้ จะเลือกร้านชำระเงินด้วยบัตรเครดิต บางร้านถ้าเราดูแล้วมีความเสี่ยง หรือบางสถานที่ซึ่งเราไปแล้วไม่แน่ใจ เราก็ไม่เลือกชำระเงินด้วยบัตรเครดิตแต่อาจจ่ายเป็นเงินสดแทน

คนที่รับบัตรเครดิตเราไปถ้ามีพฤติกรรมที่ฉ้อฉล แอบนำข้อมูลบนบัตรเราไป เขาสามารถนำบัตรเราไปใช้ทำธุรกรรมได้ ดังนั้นเมื่อนึกถึงการชำระเงินในโลกปกติ เราจะระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่บางคนพอไปใช้งานในโลกออนไลน์ กลับใช้บัตรอย่างไม่ระมัดระวัง ไม่ดูร้านค้า หรือผู้รับชำระเงิน ให้ข้อมูลต่างๆ ไปมากมาย ซึ่งมันก็กลายเป็นว่า เพิ่มความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น 

ดังนั้น การใช้บัตรเครดิตชำระเงินบนโลกออนไลน์จำเป็นต้องใช้วิธีคิดเดียวกับโลกออฟไลน์ ไม่ใช่ว่าใช้งานได้รวดเร็ว แล้วจะนำไปลงทะเบียนออนไลน์จ่ายใครก็ได้

ยิ่งถ้าเป็นการผูกบัตรเครดิต เพื่อชำระเงินให้กับผู้ให้บริการออนไลน์ต่างๆ เป็นประจำยิ่งต้องมีความระมัดระวังมากกว่าปกติ เพราะมันมีความเสี่ยงมากขึ้น เราอาจถูกแฮกเข้าระบบบริการออนไลน์ หรือมีความเสี่ยงจากผู้ให้บริการเองเนื่องจากเราไม่เคยรู้จักเขา หรือแม้แต่จากร้านค้าต่างๆ ที่อยู่ในโลกออนไลน์เอง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเลือกผู้ให้บริการหรือร้านค้าที่น่าเชื่อถือจริงๆ และเลือกใช้บัตรเครดิตแบบหักเงินอัตโนมัติเฉพาะกรณีที่จำเป็นจริงๆ ถ้ายังไม่มั่นใจเราสามารถเลือกโอนเงินเข้าบัญชีหรือจ่ายผ่านพร้อมเพย์จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

หรือแม้แต่การผูกบัตร การชำระเงินต่างๆ กับบัญชีธนาคาร เราควรมีวิธีป้องกันไม่ให้ชำระเงินมากเกินความจำเป็น เช่น ควรเปิดบัญชีในการผูกบัตรหรือระบบการชำระเงินออนไลน์ แยกจากบัญชีปกติที่ใช้เป็นประจำ และเลือกโอนเงินเข้าในบัญชีนั้นเพียงเล็กน้อย หรือทุกครั้งที่ต้องการใช้งาน ช่วยป้องกันไม่ให้เราจ่ายเงินเกินความจำเป็นโดยเฉพาะกรณีที่เกิดการฉ้อโกง

ผมใช้งานระบบ Apple Store ที่จ่ายเงินเป็นประจำ แต่ผมเลือกไม่ไปผูกการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต แต่เลือกจ่ายเงินผ่านแอพกระเป๋าเงินมือถือของผู้บริการรายหนึ่ง เลือกใช้วิธีการเติมเงินลงกระเป๋าเงินเป็นครั้งๆ ไป ลดความเสี่ยงกรณีถ้ามีใครแอบมาหักเงินจาก Apple Store เขาก็จะทำไม่สำเร็จหากเกินวงเงินในกระเป๋าเงินมือถือของผม

นอกจากนี้ ระบบแอพออนไลน์ทางการเงินต่างๆ สามารถตั้งค่าได้มากมาย กำหนดวงเงินในการโอนเงิน ชำระเงินต่อครั้ง ต่อวัน การแจ้งเตือนต่างๆ ได้หลายอย่าง ซึ่งหากเราศึกษาการใช้งานดีๆ จะพบว่า การตั้งค่าหลายอย่าง เป็นประโยชน์กับตัวเราเอง เช่น ระบบแจ้งเตือนที่อาจส่งข้อความมาให้เราทุกครั้งที่มีการทำธุรกรรมการเงิน ดังนั้นจึงสำคัญอย่างยิ่งที่ผู้ใช้บริการออนไลน์ของแอพต่างๆ ควรตั้งค่าใช้งานต่างๆ เพื่อความปลอดภัยของเราเอง

สำหรับผมแล้ว ข่าวฉ้อฉลออนไลน์ต่างๆ ที่ออกมานั้น ไม่ได้ทำให้คิดจะเลิกใช้ระบบออนไลน์ เพราะมั่นใจว่าการฉ้อฉลต่างๆ เหล่านั้นสามารถทำแบบออฟไลน์ได้เช่นกัน ถ้าเราไม่มีความระมัดระวัง ข่าวที่ออกมากลับเป็นสิ่งเตือนใจให้มีความตระหนักมากขึ้น

ผมใช้งานระบบออนไลน์เหล่านี้มาเป็นเวลานาน เคยทำธุรกรรมมาเป็นหมื่นครั้ง ก็เคยผิดพลาดมา 2-3 ครั้ง จากการทำธุรกรรมที่ไม่รอบคอบ เพราะระบบออนไลน์ทำให้เราทำธุรกรรมว่องไวขึ้น จนพลั้งเผลอ แต่โชคดีที่ทุกครั้งที่ผิดพลาดไปก็ได้คืนมา เพราะทุกอย่างตรวจสอบได้ และเป็นบทเรียนให้เราใช้งานช้าลง ตั้งค่าให้ดีขึ้น รอบคอบขึ้น 

สุดท้ายไม่ว่าจะทำธุรกรรมการเงินออนไลน์หรือออฟไลน์ ความรู้ความเข้าใจการใช้งาน และความตระหนักยังเป็นสิ่งสำคัญที่สุด