ภาพรวมกับรายละเอียด | วิฑูรย์ สิมะโชคดี

ภาพรวมกับรายละเอียด | วิฑูรย์  สิมะโชคดี

หลายต่อหลายครั้งที่ผมกับเพื่อนร่วมงานต่าง “หัวเสีย” จากการพูดคุยเรื่องเดียวกันแต่ไม่เข้าใจกัน เพราะมองคนละมุม ทุกวันนี้ หลายๆ เทคนิคหรือวิธีในการบริหารจัดการองค์กรมี “ความย้อนแย้งกัน” หรือมี “ความขัดแย้งกัน” เสมอ

ผู้บริหารจำนวนมากนิยมการบริหารจัดการด้วยการยึดมั่นและจับต้องเฉพาะ “ภาพรวม” หรือ “ภาพกว้าง” เป็นหลัก (คือไม่สนใจในรายละเอียด หรือไม่ยอมลงรายละเอียดในงานเกี่ยวกับกระบวนการผลิตหรือวิธีการทำ)  เปรียบเสมือนนั่งเครื่องบินแล้วมองผ่านหน้าต่างลงมาสู่เบื้องล่าง เห็นภาพป่าเขาเป็นทิวแถวยาว  แต่ไม่สามารถมองเห็นต้นไม้แต่ละต้น
ความสวยงามของสิ่งที่มองเห็นจากภาพระยะใกล้และภาพระยะไกล  จึงให้ความรู้สึกแตกต่างกัน

นักบริหารหลายท่าน  จึงพูดอย่างมั่นใจว่า “ผู้นำต้องมุ่งที่ภาพรวม ไม่ใช่สนใจในรายละเอียด”  ส่วน  “ผู้จัดการจะต้องให้ความสำคัญกับรายละเอียดมากกว่า” พูดง่ายๆว่า  ผู้บริหารระดับสูงควรให้ความสำคัญเฉพาะ “ภาพรวม” กว้างๆเท่านั้น  โดยไม่ควรเสียเวลากับรายละเอียด  แต่ควรปล่อยให้ระดับล่างๆ รับผิดในรายละเอียดต่อไป

การต้องลงลึกในรายละเอียดปลีกย่อยของวิธีปฏิบัติการ หรือ วิธีการแก้ปัญหาจะมีมากน้อยเพียงใด จึงขึ้นอยู่กับระดับสูงต่ำของตำแหน่งผู้บริหาร คือ ยิ่งระดับล่าง ยิ่งจะต้องเกี่ยวข้องกับรายละเอียดของงานมากขึ้น 

ยิ่งเป็น “หัวหน้างาน” ที่ต้องทำงานใกล้ชิดกับคนงานหรือผู้ปฏิบัติงานด้วยแล้ว  ก็ยิ่งจะต้องรู้ในรายละเอียดของวิธีทำงาน  กระบวนการผลิตสินค้าหรือวิธีการให้บริการ คือ หัวหน้างานจะต้องให้ความสำคัญกับขั้นตอนการทำงานในรายละเอียดให้มากที่สุด  จึงจะสามารถแก้ปัญหาที่ “หน้างาน” ได้ถูกจุดสามารถควบคุมดูแลการปฏิบัติงานให้มีคุณภาพและเป็นไปตามมาตรฐาน  เพื่อจะได้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญก็คือ การรู้ในรายละเอียดของวิธีทำงานหรือกรรมวิธีการผลิต  จะทำให้สอนงานลูกน้องได้อย่างชัดเจนไม่ผิดพลาด

การอธิบายดังกล่าวข้างต้น ก็มีเหตุผลที่รับฟังได้ โดยหลักการแล้ว ผู้นำหรือผู้บริหารระดับสูง นอกจากจะต้องมีความสามารถในการ “มองภาพรวม”  เพื่อจะได้กำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายขององค์กรแล้ว หากเป็นผู้ที่รู้ในรายละเอียดของวิธีการผลิตหรือให้บริการด้วยแล้ว  ก็จะยิ่งมีศัพยภาพในการบริหารจัดการที่บรรลุเป้าหมายอย่างได้ผลมากขึ้น

การรู้ในรายละเอียด จะทำให้ผู้นำไม่มองข้ามเรื่องที่สำคัญบางอย่างไป  โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบของหลายฝ่ายงาน และทำให้สามารถจัดการและแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้เอง   ซึ่งทำให้ผู้ปฏิบัติงานมีความเชื่อมั่น และศรัทธาในตัวผู้นำมากขึ้น  ความเป็นผู้นำและการบังคับบัญชาก็จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  เข้ากับกรณีที่ว่า “เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย” ได้เลย

แต่น่าเสียดาย  ที่พวกเรามักถูกสอนกันมาว่า “เป็นผู้จัดการต้องไม่สันดานเสมียน” คือ เมื่อเป็นผู้บริหารแล้ว จะต้องไม่จับจดอยู่กับรายละเอียด  เราควรจะมุ่งเน้นที่ภาพรวมและภาพกว้างก็พอ  ส่วนวิธีการทำในรายละเอียดปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลูกน้อง

ผู้นำจำนวนมากจึงได้แต่บอก “นโยบาย” กว้างๆ และกำหนด “เป้าหมาย” แบบหลวมๆ  แต่ไม่ได้บอกในรายละเอียดให้พนักงานรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง จึงจะเป็นไปตามนโยบาย หรือ จะบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร  อาทิ ผู้จัดการโรงงานได้แต่บอกว่า “ปีนี้ขอให้อุบัติเหตุเป็นศูนย์นะ” ส่วนวิธีการทำก็ให้ระดับล่างๆ ไปคิดและหาวิธีทำกันเอาเอง บ่อยครั้งจึงเกิดความผิดพลาดและต้องเสียเวลาปรับปรุงแก้ไข

ผู้นำประเภทที่สนใจแต่เฉพาะภาพรวม  จึงมักอาศัย “ตำแหน่ง” เป็นแหล่งที่มาของอำนาจในการสั่งการ มากกว่าการอาศัย “ความรู้ความสามารถ” ในการพูดจูงใจ หรือ ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เพื่อสร้างความศรัทธาให้ลูกน้องทำตาม

ผู้นำยุคใหม่  จึงต้องมองภาพรวมเป็น พร้อมๆ กับรู้ในรายละเอียดของงานเพียงพอที่จะควบคุมติดตามงาน ปรับปรุงงานให้ดีขึ้น สอนงาน และสร้างศรัทธาได้ ปัญหาในวันนี้  จึงอยู่ที่ว่า ผู้นำจะต้องรู้ในรายละเอียดมากน้อยเพียงใด  จึงจะสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธภาพและประสิทธิผลสูงสุด

ทุกวันนี้ เรื่องเศร้าที่เรามักได้ยินเสมอๆ ก็คือความเสียหายที่เกิดจากการมองข้ามในรายละเอียดของผู้บริหาร ครับผม !