หลังจบโควิดพฤติกรรมผู้คน จะไม่กลับไปเหมือนเดิม

หลังจบโควิดพฤติกรรมผู้คน จะไม่กลับไปเหมือนเดิม

โควิดเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้คนไปมาก แต่บางคนยังไม่เชื่อว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว ยังคิดว่าเมื่อจบโควิดแล้วรูปแบบการทำงานหรือใช้ชีวิตจะกลับมาแบบเดิม เพราะคนเหล่านั้นไม่ปรับตัวและยังคุ้นเคยกับการทำงานและใช้ชีวิตแบบเดิม

ปลายเดือนที่ผ่านมาผมประชุมผ่านระบบ Zoom ยาวนานหลายชั่วโมงแบบไม่ได้หยุดพัก แม้ดูเหมือนว่า การประชุมนั้น จะค่อนข้างนานเกินไป แต่สิ่งที่น่าแปลกใจ คือ ผู้ร่วมประชุมหลายท่านเป็นผู้ทรงคุณวุฒิอาวุโส ซึ่งทุกท่านสามารถอยู่ร่วมประชุมออนไลน์เป็นเวลานานได้จนจบการประชุม และใช้เครื่องมือการประชุมได้อย่างคล่องแคล่ว เอกสารในการประชุมไม่ได้เป็นแบบเดิม แต่ส่งเป็นไฟล์ซึ่งผู้ใหญ่ส่วนมากก็ทำได้ และสามารถบริหารการประชุมได้ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างดี

ผมจำได้ว่าไม่กี่ปีมานี้คนมักจะบอกว่า คนไทยโดยเฉพาะรุ่นเบบี้บูมคงไม่สามารถจะประชุมออนไลน์ได้ และต้องมาประชุมแบบพบปะเห็นหน้ากัน ต้องมีเอกสารในการประชุม แต่ด้วยสถานการณ์โควิดทำให้เห็นว่า ทุกคนสามารถปรับตัวได้ คนทำงานทุกวัยแม้แต่ผู้ใหญ่ก็สามารถใช้เทคโนโลยีได้เป็นอย่างดี

ผมมีการประชุมมากมายหลากหลายองค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน ส่วนใหญ่ก็เป็นการประชุมแบบทางการ ต้องบันทึกการประชุม นับองค์ประชุม ลงมติต่างๆ แต่นับตั้งแต่เกิดโควิดรอบหลัง การประชุมเกือบทั้งหมดใช้ระบบออนไลน์ ที่แทบไม่ได้ไปประชุมในห้องเลย
 

ในบางครั้งรู้สึกอยากกลับไปประชุมแบบเดิมบ้าง แต่ก็เข้าใจได้ว่า โลกได้เปลี่ยนไปแล้วจึงคิดว่าแม้จะหมดโควิดไป การประชุมแบบเดิมก็คงลดน้อยลง ใช้แบบออนไลน์ให้มากที่สุด ปรับการประชุมออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เหลือประชุมออฟไลน์เฉพาะที่จำเป็นเพื่อลดค่าใช้จ่ายต่างๆ และลดการเดินทาง เพื่อให้มีเวลาในการทำงานอื่นๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ต้องยอมรับว่าโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมทำงานเปลี่ยนไปมากทุกด้าน จนวันนี้แทบจำไม่ได้ว่า ครั้งสุดท้ายเข้าไปออฟฟิศของตัวเองเมื่อไหร่ กี่เดือนมาแล้ว ที่ผ่านมาบริษัทมีนโยบายให้พนักงานทำงานจากที่บ้านเกือบ 100% ต่อไปเมื่อคลายล็อกดาวน์ เราคงต้องคิดนโยบายใหม่เรื่องการทำงานจากออฟฟิศ รวมถึงใช้พื้นที่ออฟฟิศที่อาจต้องมีขนาดเล็กลง หรืออาจไม่จำเป็นต้องมีก็เป็นได้

นอกจากการประชุมแล้ว ในช่วง 6 เดือนมานี้ ผมยังมีบรรยายแทบทุกสัปดาห์ ซึ่งไม่ได้ไปบรรยายในห้องเรียนหรือเวทีสัมมนาแบบเดิม แต่บรรยายผ่านระบบออนไลน์ แม้บางครั้งจะรู้สึกว่าอาจไม่มีประสิทธิภาพเท่าการสอนแบบเดิม แต่สุดท้ายเราก็จำเป็นต้องปรับตัว หาเครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับปรุงการบรรยายอยู่เสมอเพื่อให้มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น

 

ส่วนตัวผมเชื่อว่า เมื่อผ่านพ้นโควิด-19 ไปแล้ว รูปแบบการสอนออนไลน์ยังจำเป็น และการเรียนการสอนที่ดีต้องผสมผสานทั้งแบบออนไลน์และในห้องเรียนเช่นเดิม

มีหลายคนอาจเข้าใจว่าผู้อาวุโสไม่เหมาะกับการเรียนออนไลน์ และพยายามคิดว่าการสอนแบบเดิมดีที่สุด แต่ช่วงเดือนที่ผ่านมาผมมีโอกาสไปเรียนหลักสูตรสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) แบบออนไลน์ถึงสองหลักสูตร ผู้เรียนส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารระดับสูงจากหลากหลายองค์กร หลายท่านอยู่ในยุคเบบี้บูม และต้องเรียนออนไลน์เต็มวันถึงสองวันติดกันก็เป็นไปด้วยดี

ผมกลับแปลกใจที่พบว่า ทุกท่านร่วมเรียนแบบออนไลน์พร้อมๆ กับผมได้ดีมาก ใช้เทคโนโลยีได้เป็นอย่างดี มีส่วนร่วมทำให้การเรียนแบบออนไลน์เป็นไปด้วยดี แลกเปลี่ยนความรู้กันทำให้ผมได้รับความรู้มากมายทั้งจากผู้สอนและผู้ร่วมเรียน

นอกจากการเรียนการทำงานแลัว ผมยังมาคิดถึงการใช้ชีวิตประจำวันที่ต้องพึ่งเทคโนโลยีมากขึ้น ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่หลากหลายทั้งการซื้อของ หรือแม้แต่เรื่องความบันเทิง เช่น การชำระเงินทำให้ผมต้องมาทบทวนดูว่าแต่ละเดือนได้จับเงินสดกี่ครั้ง แม้แต่ออกนอกบ้านยุคนี้แทบไม่ได้ใช้เงินสด แต่เน้นชำระเงินผ่านมือถือหรือพร้อมเพย์แทน

คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องซื้อของและการสั่งอาหารออนไลน์ ที่เปลี่ยนพฤติกรรมผู้คนไปแล้ว ซึ่งนับครั้งได้ที่เราต้องออกไปซื้อของหรือทานอาหารแบบเดิมๆ แต่ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นคือเรื่องของความบันเทิง แต่ก่อนร้านอาหารหลายแห่งอาจมีดนตรีสด แต่ช่วงล็อกดาวน์นักดนตรีต้องไปเล่นสดผ่านระบบสตรีมมิ่ง เช่น Facebook live โดยบางคนก็มีรายได้มาจากการสนับสนุนที่ผู้ฟังโอนเงินแบบออนไลน์มาให้

เมื่ออนุญาตให้ร้านอาหารเริ่มเล่นดนตรีได้อีกครั้งตั้งแต่ต้นเดือนนี้ นักดนตรีบางคนพบว่า จำเป็นจะต้องคงการเล่นสดแบบสตรีมมิ่งไว้เพราะยอดผู้ฟังมีเป็นหลักพันคน เมื่อเทียบการเล่นสดในร้านอาหารที่คนฟังเพียงแค่หลักสิบ หรือแม้แต่การจัดคอนเสริตของนักดนตรีล่าสุด ก็มีการขายบัตรให้ชมสดแบบสตรีมมิ่ง สามารถดูผ่านมือถือหรือทีวีที่บ้านก็ได้

โควิดเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้คนไปมาก แต่บางคนยังไม่เชื่อว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว ยังคิดว่าเมื่อจบโควิดแล้วรูปแบบการทำงานหรือใช้ชีวิตจะกลับมาแบบเดิม คิดว่าจะต้องไปประชุมแบบเดิม พบปะกัน จ่ายเงินกันแบบเดิม ส่วนหนึ่งเพราะคนเหล่านั้นไม่ปรับตัวและยังคุ้นเคยกับการทำงานและใช้ชีวิตแบบเดิม แลัวไปคิดว่าผู้ใหญ่หรือคนจำนวนมากจะปรับตัวไม่ได้

โลกเปลี่ยนไปแล้ว ต้องยอมรับว่าแม้แต่ตัวเราเองยังเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย เราต้องพยายามสัมผัสกับรูปแบบใหม่ ต้องเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นได้จริง ซึ่งจะมาอย่างรวดเร็ว โดยที่อาจไม่กลับไปเป็นแบบเดิมแล้ว หากเราจะอยู่รอดในการทำงานในอนาคตต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ และกล้าเปลี่ยน

อย่าคิดว่ามันทำไม่ได้ หรือต่อต้านการเปลี่ยนแปลง เพราะที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า ผู้คนทุกวัยสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้ด้วยเวลาที่รวดเร็ว ถ้าเราไม่เปลี่ยน เราอาจแข่งต่อไปไม่ได้ในยุคที่โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว