เมื่อคน ‘อัฟกานิสถาน’ต้องการ ปุ่มคลิกเดียวลบ‘รอยเท้าดิจิทัล’

โซเชียลมีเดียที่คนอัฟกานิสถานนิยมมากที่สุด คือ Facebook
ข่าวที่โด่งดังที่สุดทั่วโลกในเดือนนี้คงหนีไม่พ้นการเข้ายึดอำนาจของกลุ่มตาลีบันจากรัฐบาลอัฟกานิสถานเดิมอย่างรวดเร็ว สร้างความตื่นตระหนักให้กับประชาชนจำนวนหนึ่ง และคนต่างชาติที่อาศัยอยู่ในอัฟกานิสถาน ผู้คนจำนวนมากอพยพหนีออกนอกประเทศ สหรัฐอเมริกาต้องอพยพเจ้าหน้าที่การทูต พลเมือง และกำลังทหาร รวมถึงคนอัฟกานิสถานที่ทำงานให้ทางสหรัฐอเมริกา
ความหวาดกลัวการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งใหญ่นี้ ทำให้สนามบินในกรุงคาบูลเมืองหลวงอัฟกานิสถานเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่ต้องการบินออกจากประเทศ และก็ไม่แน่ว่าสหรัฐอเมริกาจะอพยพผู้คนทั้งหมดออกไปทันกำหนดการที่ตั้งไว้ในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้หรือไม่
ภาพการอพยพและการทำลายเอกสารต่างๆ ในสถานทูตดูคล้ายเหตุการณ์ปี 2518 ในประเทศเวียดนามที่ทหารเวียดกงบุกเข้ากรุงไซ่ง่อน ตอนนั้นสหรัฐอเมริกาต้องรีบอพยพคนขึ้นเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินออกไป พร้อมทั้งต้องทำลายเอกสารต่างๆ เป็นจำนวนมาก
เป็นธรรมดาที่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรุนแรง มักจะมีการทำลายข้อมูลต่างๆ เพื่อไม่ให้ผู้มีอำนาจใหม่มาสืบเซาะค้นหาข้อมูลได้ เช่นเดียวกับสมัยสงครามโลก สงครามเวียดนาม และการเข้ายึดอำนาจในประเทศต่างๆ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในปัจจุบันและอาจทำลายยากขึ้น คือ “รอยเท้าดิจิทัล”(Digital footprint) ของผู้คน
โลกได้เปลี่ยนไปผู้คนจำนวนมากใช้อินเทอร์เน็ต มีเอกสารและรูปจำนวนมาก อยู่ในรูปแบบดิจิทัลที่อาจถูกส่งต่อไปได้โดยง่ายขึ้น มีการใช้โซเชียลมีเดียเป็นเวลาต่อเนื่องหลายปี บางคนโพสต์สถานะตัวเอง และข้อความต่างๆ โซเชียลมีเดียวิเคราะห์การเชื่อมโยงของคนได้จากโปรไฟล์ ดังนั้นวันนี้หากจะทำลายเพียงแค่เอกสารในรูปแบบเดิมอาจไม่เพียงพอ แต่บางคนอาจต้องหาทางลบรอยเท้าดิจิทัลของตัวเองให้ได้ ถ้าคิดว่ามีความเสี่ยงมายังตัวเอง หรือเพื่อนที่ติดตามในโลกออนไลน์
กลุ่มตาลีบันเคยปกครองอัฟกานิสถานช่วง 2539-2544 ซึ่งตอนนั้นได้ใช้กฎหมายอิสลาม หรือชารีอะห์อย่างสุดโต่งในการปกครองประเทศ และมีกฎห้ามประชาชนทำกิจกรรมหลายอย่าง รวมทั้งสั่งห้ามภาพยนตร์และหนังสือจากชาติตะวันตก แน่นอนยุคนั้นไม่มีการอนุญาตให้ประชาชนใช้อินเทอร์เน็ต
แต่เมื่อกองกำลังทหารสหรัฐอเมริกาเข้ายึดครองประเทศหลังจากนั้น และเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ประชาชนมีเสรีภาพใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น จนปัจจุบันมีผู้ใช้จำนวน 8.6 ล้านคน หรือคิดเป็น 22% จากประชากรทั้งหมด 39.4 ล้านคน และยังมีผู้ใช้โซเชียลมีเดีย 4.4 ล้านคน นอกจากจากนี้มีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือถึง 27 ล้านคน โดยโซเชียลมีเดียที่คนอัฟกานิสถานนิยมมากที่สุด คือ Facebook และมีแพลตฟอร์มอื่น เช่น Instagram, Twitter และ LinkedIn รวมถึงแพลตฟอร์มส่งข้อความ Whatsapp ด้วย
แม้ปัจจุบันกลุ่มตาลีบันได้เริ่มผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ มีการใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น แต่ส่วนหนึ่งคงหวาดกลัวต่อการที่กลุ่มตาลีบันเข้ามาใช้โซเชียลมีเดียที่อาจทำให้พวกเขาตามรอยเท้าดิจิทัลผู้คนได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีความคิดเห็นตรงกันข้าม
หลายคนจึงพยายามลบข้อมูลต่างๆ ออกไป ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในอัฟกานิสถานจำนวนมากเริ่มทยอยลบรูปต่างๆ ออก โดยเฉพาะรูปที่เกี่ยวข้องเจ้าหน้าที่รัฐบาล รูปธงชาติ รูปเพื่อนต่างชาติ รวมถึงพยายามที่จะ unfriend เพื่อนบางกลุ่มออก นอกจากนี้ผู้คนเริ่มทยอยลบรูปและไฟล์ต่างๆ ที่มีความเสี่ยงออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ และมือถือเช่นกัน เพราะล่าสุดมีข่าวว่าทหารกลุ่มตาลีบันบางส่วนเข้ามาค้นดูรูปต่างๆ จากมือถือ
การลบรอยเท้าดิจิทัลด้วยความรวดเร็วเป็นเรื่องท้าทาย เพราะหลายคนมีข้อมูลต่างๆ มากมาย และกระจัดกระจายอยู่หลายอุปกรณ์หลายระบบ การลบข้อมูลจำนวนมากด้วยเวลารวดเร็วเลยไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่แน่ว่ายังหลงเหลืออยู่ที่ใด ที่อาจทำให้ถูกสืบค้นหาได้
ล่าสุดแพลตฟอร์มอย่าง Facebook ได้ออกเครื่องมือที่เป็นแบบคลิ๊กเดียว (One-click tool) อนุญาตให้ผู้คนในอัฟกานิสถานกดเพื่อล็อกบัญชีตัวเอง และห้ามไม่ให้คนที่ยังไม่ได้เป็นเพื่อนดาวน์โหลด หรือเห็นข้อมูลต่างๆ ได้แม้เป็นการโพสต์สาธารณะ ส่วน Twitter และ LinkedIn ก็ออกนโยบายคล้ายกัน โดยป้องกันไม่ให้สามารถเห็นและค้นหารายชื่อเพื่อนของผู้ใช้ในอัฟกานิสถานได้
ส่วน Twitter พยายามเร่งทำฟังก์ชั่นให้สามารถลบโพสต์เก่าทั้งหมดได้ แต่ยังมีเสียงบ่นว่าหลายอย่างอาจดูช้าเกินไปและไม่มีคำอธิบายการใช้เป็นภาษาท้องถิ่น
หลายคนอาจคิดว่าโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว เรามีเสรีภาพอย่างมากมาย อยากโพสต์ หรือจะเก็บข้อมูลอะไรก็ได้ แต่ทุกสิ่งมีความไม่แน่นอน เสรีภาพการใช้อินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย หรือเทคโนโลยีต่างๆ อาจเป็นภัยย้อนกลับมาหาเราได้
ดังนั้นเราคงต้องระมัดระวังมากขึ้นในเรื่องรอยเท้าดิจิทัล โดยเฉพาะในสังคมที่มีความเสี่ยงต่อการแตกแยกทางการเมือง และความคิด และที่สำคัญในอนาคตแพลตฟอร์มต่างๆ อาจต้องออกฟังก์ชั่นคลิกเดียว ที่ให้ผู้ใช้สามารถลบบัญชีและข้อมูลในอดีตทั้งหมดออกไปได้ เสมือนปุ่มฆาตกรรมตัวเองให้หายออกไปจากโลกโซเชียลมีเดียนั้นเพื่อความปลอดภัยกับตัวเอง