ตลาดหุ้นจีนน่าสนใจมากขึ้น

ตลาดหุ้นจีนน่าสนใจมากขึ้น

ในปี 2563 ที่ผ่านมา ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตของตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้น 13.87% ซึ่งถือเป็นตลาดหนึ่งที่ปรับตัวขึ้นได้ดีในปีที่ผ่านมา

 หลังจากเศรษฐกิจจีนเป็นเพียงหนึ่งเดียวในประเทศเศรษฐกิจหลักที่มีการเติบโตท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก

อย่างไรก็ดี หลังจากที่ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปรับตัวขึ้นต่อในช่วงต้นปีนี้ และขึ้นไปทำจุดสูงสุดของปีนี้ที่ 3,696.17 จุดเมื่อวันที่ 19 กุ.พ.ก่อนที่จะปรับตัวลดลงกว่า 9% หลังเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนแสดงความกังวลว่าอาจเกิดฟองสบู่ในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างจีนกับหลายๆประเทศ และความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ

การร่วงลงของตลาดหุ้นจีนในปีนี้ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนเป็นหนึ่งในตลาดที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด โดยนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 8 พ.ค. ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปรับตัวขึ้น 3.08% ในขณะที่ดัชนี S&P500 ของสหรัฐปรับขึ้น 12.54% ดัชนี FTSE100 ของอังกฤษปรับขึ้น 8.23% ดัชนี DAX ของเยอรมนีปรับขึ้น 14.01% ดัชนีนิเคอิของญี่ปุ่นปรับขึ้น 5.54% ดัชนีฮ่องกงฮั่งเส็งปรับขึ้น 5.69% และ SET Index ของไทยปรับขึ้น 11.28%

ทั้งนี้ เศรษฐกิจจีนยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยไอเอ็มเอฟประเมินว่าเศรษฐกิจจีนอาจขยายตัวราว 8.4% และตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดของจีนขยายตัวสูง โดยยอดส่งออกเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 27.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนตามอุปสงค์ในตลาดโลกที่ปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่ยอดนำเข้าพุ่งขึ้น 51.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน สะท้อนถึงการบริโภคภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อนำไปผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกในอนาคต  สอดคล้องกับดัชนีภาคการผลิตที่ยังคงบ่งชี้ถึงการเติบโตต่อเนื่อง  ทางด้านยอดค้าปลีกเดือนเมษายนเพิ่มขึ้น 17.7% ซึ่งนับเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ถึงแม้เป็นการเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดก็ตาม  ในขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 9.8% และผลกำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมในช่วง 4 เดือนแรกเพิ่มขึ้นถึง 106.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโตสูง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  อย่างไรก็ดี การลงทุนในตลาดหุ้นจีนเพื่อให้มีโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดี อาจจำเป็นต้องพิจารณาเลือกลงทุนในกองทุนหุ้นที่มีการคัดเลือกหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาล เนื่องจากรัฐบาลจีนสามารถกำหนดทิศทางได้ว่าต้องการส่งเสริมให้ภาคเศรษฐกิจใดขยายตัว

ทั้งนี้ การจัดทำตัวเลขจีดีพีของจีนเน้นประเมินจากด้านการผลิต (production side) เป็นหลัก โดยแบ่งเป็น 3 ภาคส่วน ได้แก่ ภาคเกษตรกรรม (primary industry) ภาคอุตสาหกรรม (secondary industry) และภาคบริการ (tertiary industry)  โดยภาคเกษตรกรรมเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีขนาดเล็กที่สุด (ราว 4.5% ของจีดีพี) และภาคบริการมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด (ราว 58% ของจีดีพี)  การจัดทำจีดีพีด้วยวิธีของจีนนี้ส่งผลให้เห็นได้ชัดว่าการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาลหรือไม่

สำหรับเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปัจจุบัน รัฐบาลจีนส่งเสริมการเติบโตด้านเทคโนโลยีในทุกๆด้าน เช่น หุ่นยนต์ รถไฟฟ้า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซอฟท์แวร์ การสื่อสาร เป็นต้น ซึ่งประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก จนกระทั่งหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐต้องใช้หลายมาตรการเพื่อสกัดการเติบโตของเศรษฐกิจจีน เช่น การห้ามบริษัททางด้านเทคโนโลยีของจีนหลายแห่งประกอบธุรกิจในสหรัฐ รวมถึงห้ามบริษัทสหรัฐไม่ให้ทำธุรกิจกับบางบริษัทของจีน เป็นต้น  อย่างไรก็ดี การพยายามสกัดกั้นของสหรัฐกลับส่งผลให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองและลดการพึ่งพาภายนอกลง ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพมากขึ้น  โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ภาคเทคโนโลยีของจีนขยายตัว 21.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่แล้ว

นอกจากการส่งเสริมด้านเทคโนโลยีแล้ว รัฐบาลจีนยังให้การส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมส่วนหนึ่งก็อาศัยเทคโนโลยีมาช่วย เช่น การใช้เทคโนโลยีพลังงานทดแทนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น

หุ้นอีกกลุ่มหนึ่งในตลาดหุ้นจีนที่น่าจะมีไว้ในพอร์ตถึงแม้ไม่ใช่ส่วนที่รัฐบาลสนับสนุนการเติบโตโดยตรงก็ตาม ได้แก่ หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค เพราะประเทศจีนเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก ซึ่งหมายถึงกำลังซื้อมหาศาล และการเติบโตของเศรษฐกิจจีนย่อมส่งผลดีต่อการบริโภคภายในประเทศ

จะเห็นได้ว่า หากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มในอนาคตแล้ว การลงทุนในตลาดหุ้นจีนมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่ดี โดยการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นจีนในปีนี้เป็นผลมาจากความกังวลในหลายด้าน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในอนาคต  ดังนั้น หากนักลงทุนสามารถรับความเสี่ยงได้สูงและมีเป้าหมายเพื่อรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว การลงทุนในตลาดหุ้นจีนน่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยในปัจจุบันมีกองทุนของไทยหลายกองทุนที่นำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นจีน และมีการลงทุนที่หลากหลายแตกต่างกันไป  ดังนั้น หากท่านต้องการลงทุนในกองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นจีน ท่านควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียด เช่น เน้นลงทุนในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่หรือเน้นลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มใดเป็นพิเศษหรือไม่ เป็นต้น