กิโยตินกฎหมาย เล็งธนูดอกสุดท้ายให้ตรงเป้า

กิโยตินกฎหมาย เล็งธนูดอกสุดท้ายให้ตรงเป้า

ตอนที่แล้วผู้เขียนเสนอรัฐบาลให้ใช้วิธี 'กิโยตินกฎหมาย'หรือ'ปรับปรุงกฎหมาย' เป็นธนูดอกที่สามเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจากโควิด-19 ควบคู่มาตรการอื่นๆ

ตอนที่สองนี้จะเป็นการวิเคราะห์กฎหมายที่สร้างภาระแก่ประชาชน พร้อมข้อเสนอวิธีการแก้ไขทั้งในระยะสั้นให้กับกลุ่มเปราะบางที่กฎหมายได้สร้างภาระข้อจำกัดในการหางานทำและการขอรับสิทธิต่างๆ หลังเจอวิกฤตโควิด-19 และระยะกลางสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้กลับมาฟื้นตัวได้เร็ว

๐ ระยะสั้นเร่งแก้ปัญหาให้กลุ่มเปราะบาง

คนพิการ ประเทศไทยมีคนพิการวัยทำงานขึ้นทะเบียนหางานกับกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ในปี พ.ศ.2562 ราว 8.4 แสนคน แต่มี 1 ใน 4 เท่านั้นที่ได้งานทำ ปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 มาตรา 35 ซึ่งสร้างภาระให้สถานประกอบการและคนพิการ คือ

(1) สถานประกอบการต้องใช้เวลานานและใช้เอกสารจำนวนมากในการจ้างผู้พิการ ซึ่งจะทำสัญญาจ้างได้ก็ต่อเมื่อกรมส่งเสริมฯ อนุมัติแล้ว โดยกรมจะตรวจสอบการใช้สิทธิซ้ำซ้อนเพื่อป้องกันการทุจริต ขั้นตอนนี้ใช้เวลานาน อีกทั้งไม่มีฐานข้อมูลให้สถานประกอบการตรวจสอบได้เอง และแม้จะเป็นคนพิการที่เคยจ้างมาก่อนแล้วก็ต้องขอใหม่ทุกปี

เพื่อช่วยให้สถานประกอบการจ้างงานคนพิการได้สะดวกรวดเร็วขึ้น อาจใช้วิธีสุ่มตรวจสอบภายหลัง (post audit) ร่วมกับการประเมินความเสี่ยง (risk-based approach) เช่น หากเป็นการจ้างคนพิการคนเดิมในสถานประกอบการเดิมที่เคยจ้างงานมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ปีติดต่อกัน ให้ต่อสัญญาจ้างได้ทันที แต่หากพบกรณีทุจริตให้บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง

(2) หากสถานประกอบการในจังหวัดใดมีคนพิการมาลงทะเบียนขอใช้สิทธิตามมาตรา 35 น้อย จะต้องจ้างคนพิการในจังหวัดใกล้เคียง กรณีนี้สถานประกอบการและผู้พิการต้องเตรียมเอกสารจำนวนมากเพื่อส่งให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากการสอบถามวิธีปฏิบัติพบว่าต้องใช้เอกสารถึง 4 ชุด รวม 90 แผ่นต่อการจ้างคนพิการ 1 คน

นอกจากนี้ คนพิการต้องติดต่อกรมจัดหางานและกรมส่งเสริมฯ ทุกปีเพื่อแจ้งขอรับสิทธิ ทำให้เกิดความซ้ำซ้อนของขั้นตอนและเอกสาร เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนพิการ ควรมีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลคนพิการของกรมส่งเสริมฯ กับกรมการจัดหางานเข้าด้วยกัน และยกเลิกไม่ต้องให้คนพิการแจ้งขอรับสิทธิกับกรมจัดหางานทุกปี

นอกจากสองเรื่องข้างต้นแล้ว ภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ยังมีกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อใช้ฝึกทักษะอาชีพแก่คนพิการ ซึ่งกำหนดให้หน่วยงานของรัฐหรือ NGOs เท่านั้นที่สามารถขอทุนจากกองทุนนี้ แต่ทักษะที่จัดฝึกอบรมนั้นกลับไม่ตรงกับความต้องการของผู้ว่าจ้างเอกชน ในขณะที่เอกชนหลายแห่งมีศูนย์ฝึกอบรมพนักงานและสามารถปรับปรุงเล็กน้อยเพื่อฝึกทักษะให้คนพิการได้ บางแห่งพร้อมรับคนพิการที่ผ่านการฝึกอบรมแล้วเข้าทำงานอีกด้วย แต่หน่วยงานเอกชนเหล่านี้ไม่สามารถขอรับทุนสนับสนุนได้

เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้สถานประกอบการจ้างงานคนพิการเพิ่มขึ้น จึงควรแก้ไขกฎหมายให้หน่วยงานเอกชนสามารถขอทุนจากกองทุนคนพิการได้ด้วย

ผู้สูงอายุ พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 กำหนดให้ผู้สูงอายุมีสิทธิได้รับความคุ้มครองในด้านต่าง ๆ เช่น (1) ขอรับความช่วยเหลือจากการถูกทารุณ (2) ขอคำแนะนำหรือความช่วยเหลืออื่นที่เกี่ยวข้องในทางคดีหรือปัญหาครอบครัว และ (3) ขอที่พัก อาหารและเครื่องนุ่งห่มตามความจำเป็น แต่ปัญหาคือกฎหมายฯ ไม่กำหนดระยะเวลาพิจารณาอนุมัติสิทธิไว้ให้ชัดเจน ผู้สูงอายุต้องรอนานจึงทราบว่าได้รับอนุมัติหรือไม่ ปัญหานี้แก้ไขได้ง่ายเพียงกำหนดระยะเวลาพิจารณาที่ชัดเจนไว้ในกฎหมาย

พนักงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) พระราชบัญญัติธุรกิจรักษาความปลอดภัย พ.ศ. 2558 กำหนดคุณสมบัติด้านการศึกษาให้พนักงาน รปภ.ต้องสำเร็จการศึกษาภาคบังคับ (ม.6) แต่ในความเป็นจริงวุฒิการศึกษาไม่ได้บ่งบอกคุณภาพในการทำงานของ รปภ. ถึงขั้นต้องกำหนดไว้ในกฎหมาย ควรให้เป็นการตัดสินใจของผู้ว่าจ้าง โดยการกำหนดเงื่อนไขเรื่องคุณสมบัติดังกล่าวน่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญเรื่องเสรีภาพในการประกอบอาชีพและเสรีภาพในการแข่งขันอย่างเป็นธรรมอีกด้วย จึงควรยกเลิกคุณสมบัติด้านการศึกษาของ รปภ.

 

๐ ระยะกลางช่วยธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้ฟื้นตัวได้เร็ว

ธุรกิจรักษาความปลอดภัย พระราชบัญญัติธุรกิจรักษาความปลอดภัย พ.ศ. 2558 ให้สิทธิพิเศษแก่หน่วยงานรัฐบางแห่งได้รับยกเว้นไม่ต้องขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจรักษาความปลอดภัย การยกเว้นดังกล่าวมีผลทำให้หน่วยงานรัฐที่ได้รับการยกเว้นได้เปรียบผู้ประกอบการเอกชนในการจัดหาพนักงานรักษาความปลอดภัย เพราะไม่ต้องหาบุคคลากรที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด กฎหมายดังกล่าวก่อให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมในการทำธุรกิจ จึงควรแก้ไขให้หน่วยงานภาครัฐต้องขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจรักษาความปลอดภัยเช่นเดียวกัน

การฟื้นฟูกิจการ ภายใต้กฎกระทรวงซึ่งเป็นกฎหมายลำดับรองของพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2489 กำหนดให้การขออนุญาตการฟื้นฟูกิจการเข้มงวดเกินขอบที่กฎหมายแม่ให้อำนาจไว้ ในกรณีเช่นนี้ควรแก้ไขกฎกระทรวงโดยให้ผู้ทำแผนและผู้บริหารแผนไม่ต้องขออนุญาต แต่ให้แจ้งต่อนายทะเบียนรับทราบเท่านั้น

นอกจากนี้ กฎกระทรวงฯ ภายใต้กฎหมายนี้ยังกำหนดให้ผู้ทำแผนและผู้บริหารแผนจะต้องวางหลักประกันความเสียหายทั่วไปเสียก่อนจึงจะเริ่มธุรกิจได้ ทำให้เอกชนบางรายโดยเฉพาะรายย่อยไม่สามารถเข้าสู่ตลาดได้ เพื่อให้กฎหมายส่งเสริมการแข่งขันในตลาด จึงควรปรับปรุงข้อกำหนดให้ผู้ทำแผนและผู้บริหารแผนวางหลักประกันเฉพาะคดีตามจำนวนที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น

การยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายในระยะสั้นและกลางนี้จะช่วยประชาชนให้มีงานทำและรับสิทธิที่พึงได้รวดเร็วขึ้น ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกลับมาแข่งขันได้

สำหรับข้อเสนอแนวทางยิงธนูดอกที่สามไปที่เป้าหมายใดในระยะยาวเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ ผู้เขียนขอเสนอในวาระทีดีอาร์ไอครั้งหน้า

*บทความโดย ภูมิจิต ศรีอุดมขจร, เทียนสว่าง ธรรมวณิช