
เทคโนโลยีดิจิทัลสามารถทำให้ลดการเดินทางได้จริง ตั้งแต่การทำงานที่บ้าน เรียนออนไลน์ การทำธุรกรรมต่างๆ
จากสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในท้องที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย นับวันทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน และเริ่มมีผลต่อสุขภาพประชาชน ทำให้มีการสั่งปิดโรงเรียนหลายแห่ง ล่าสุดมีข่าวที่ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) มีนโยบายสั่งการให้ข้าราชการหรือพนักงานในหน่วยงานบางส่วนงานสามารถทำงานที่บ้านได้ เพื่อลดการปล่อยฝุ่นควันจากการเดินทาง พร้อมกันนี้ยังสั่งการให้สถาบันอุดมศึกษานำเทคโนโลยีมาช่วยจัดการเรียนการสอนออนไลน์
แนวคิดการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้คนลดการเดินทางเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งปัจจุบันผู้คนสามารถทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านบริการออนไลน์ได้ ตั้งแต่การทำธุรกรรมธนาคารผ่านอินเทอร์เน็ตหรือมือถือ การชำระค่าบริการต่างๆ การจองตั๋วเดินทาง จองที่พัก ซื้อประกันภัย ต่อทะเบียนรถ การชำระค่าปรับจราจร แต่ผู้คนจำนวนหนึ่งยังคุ้นกับการใช้ระบบแบบเดิมๆ จึงไม่แปลกใจที่มักเห็นสาขาธนาคารบางแห่งยังมีคนรอคิวอยู่จำนวนมาก หรือบางครั้งไปที่สนามบินก็จะเห็นแถวที่เช็คอินด้วยช่องทางปกติที่ยาวมากทั้งๆ ที่สามารถเช็คอินออนไลน์ได้ ส่วนหนึ่งเพราะผู้คนยังขาดความเชื่อมั่นในด้านการใช้เทคโนโลยี บ้างก็มีความกลัวเรื่องความปลอดภัย หรือบ้างก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงบริการออนไลน์ได้
ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลสามารถที่จะทำให้ลดการเดินทางได้จริง ตั้งแต่การทำงานที่บ้าน การเรียนออนไลน์ หรือการทำธุรกรรมต่างๆ แต่ลำพังเพียงเทคโนโลยีอย่างเดียวก็ยังไม่สามารถที่จะผลักดันให้ทำงานหรือเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังต้องมีวินัยและปรับวัฒนธรรม อีกหลายด้านที่ยังยึดติดกับกฎระเบียบ เอกสาร ทำให้ไม่สามารถทำงานนอกสถานที่ได้อย่างเต็มที่
ผมทำงานอยู่หลายแห่งทั้งมีบริษัทส่วนตัว เป็นกรรมการบริษัทต่างๆ และหลายคนจะแปลกใจเมื่อผมบอกว่าผมไม่มีโต๊ะทำงานมา 7 ปีแล้ว แต่สามารถทำงานออนไลน์จากที่ใดก็ได้ด้วยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ มือถือ และแทบเล็ต ผมให้พนักงานทำเอกสารออนไลน์ร่วมกัน มีการประชุมทางคอนเฟอเรนซ์คอลล์ เป็นประจำ และเอกสารทั้งหมดก็อยู่บนระบบคลาวด์ทำให้ทุกคนสามารถทำงานที่ใดก็ได้
แต่ผมยังต้องออกเดินทางไปทำงานตามที่ต่างๆ ทุกวัน ทั้งไปสอนหนังสือ ไปประชุมหน่วยงาน และบางครั้งก็ต้องไปเซ็นเอกสารเพื่อทำธุรกรรม บริษัทก็ยังไม่ได้อนุญาตให้พนักงานไปทำงานที่บ้านได้ตลอดแต่จะยืดหยุ่นในแง่ของเวลาการทำงานในบางครั้ง หรือบางวันอาจอนุญาตให้ทำงานที่บ้านได้ หลายท่านอาจถามด้วยความแปลกใจว่าในเมื่อผมและบริษัทมีความพร้อมในด้านเทคโนโลยีและพนักงานมีทักษะ แล้วทำไมยังต้องเดินทางมาที่ทำงานเป็นประจำทุกวัน ในมุมของผมมองว่า ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องวัฒนธรรมของสังคมและความมีวินัยของพนักงาน
เทคโนโลยีอาจช่วยทำให้สะดวกสบายในการทำงาน ทำงานที่ใดก็ได้ ทำให้มีความคล่องตัวในการทำงานร่วมกัน แต่เทคโนโลยีจะไม่ตอบโจทย์หากผู้คนยังไม่มีวินัยที่ดีพอ ดังนั้นการได้ทำงานสถานที่เดียวกันจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ได้ความสัมพันธ์ของผู้ร่วมงานที่ดีขึ้น ซึ่งยังมีความจำเป็นอย่างมากในสังคมไทย ทำให้เรายังไม่สามารถที่จะให้พนักงานต่างคนต่างทำงานที่บ้านได้ตลอดเวลา
แต่ด้วยความจำเป็นในปัจจุบันผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกคนให้ทำงานที่ใดก็ได้ พร้อมจะทำงานที่บ้านได้ตลอด และโลกการทำงานในปัจจุบันก็เปลี่ยนเป็นการทำงานได้ทุกที่ทุกเวลาแล้ว แต่เราต้องมีความพร้อมมากกว่าแค่การจัดหาเทคโนโลยี ต้องฝึกทีมให้มีทักษะในการทำงานร่วมกันผ่านเทคโนโลยี เช่น การสร้างเอกสารออนไลน์ที่สามารถแก้ไขและเห็นพร้อมกันได้ การเก็บเอกสารไว้บนคลาวด์ การประชุมทางไกลร่วมกันผ่านระบบออนไลน์ ลดการใช้เอกสารและมีแบบฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ในหน่วยงาน รวมถึงอาจต้องแก้ใช้กฎระเบียบ ต้องสร้างวินัยและความรับผิดชอบให้กับพนักงาน ต้องสามารถใช้เทคโนโลยีชี้วัดได้ว่าพนักงานทำงานได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ
สิ่งสำคัญที่สุดหน่วยงานจะต้องมีความโปร่งใสเพราะการทำงานจากภายนอก จะทำให้ระบบงานส่วนใหญ่เป็นแบบออนไลน์ที่สามารถตรวจสอบได้ ขณะเดียวกันจะแสดงถึงคุณธรรมของผู้บริหารที่สามารถวัดประสิทธิภาพของผู้ใต้บังคับบัญชาได้อย่างตรงไปตรงมาจากผลงาน
สุดท้ายเมื่อฝึกทักษะให้บุคลากรมีความพร้อม ปรับวัฒนธรรมองค์กร เราจะสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อให้ผู้คนทำงานที่ใดก็ได้ และได้ประสิทธิภาพอย่างแท้จริง