ผลของนโยบายควบคุมบริโภคยาสูบด้วยการเพิ่มภาษี

จากการที่ได้พิจารณาข่าวสารบ้านเมืองที่สำคัญเกี่ยวกับเรื่องการเพิ่มภาษีสรรพสามิตเฉพาะสินค้าบุหรี่ต่างสรุปตรงกันว่า
การเพิ่มภาษีสรรพสามิตบุหรี่จะส่งผลทำให้บุหรี่มีราคาสูงขึ้นกว่าเดิม และการที่บุหรี่มีราคาสูงขึ้นก็จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในที่สุด ทั้งนี้ การบริโภคสินค้าบุหรี่มิได้เป็นเรื่องใหม่สำหรับสังคมประเทศไทยแต่ประการใด เนื่องจากคนไทยมีความคุ้นชินกับคำว่าบุหรี่หรือการสูบบุหรี่มาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน โดยแต่ละคนอาจคุ้นชินกับการเห็นภาพของคนสูบบุหรี่ในที่ต่างๆ หรือบางคนอาจเคยได้สัมผัสรสชาติของการสูบบุหรี่มาแล้วไม่มากก็น้อย
สิ่งดังกล่าวข้างต้นชวนให้ผู้เขียนเกิดข้อสงสัยว่า จากการที่สังคมไทยมีความคุ้นเคยกับบุหรี่และการสูบบุหรี่นั้น มีเหตุผลประการใดบ้างที่ทำให้รัฐบาลต้องกำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีบุหรี่ ทั้งนี้เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า การที่รัฐบาลจัดเก็บภาษีโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีจากสินค้าบุหรี่นั้นมีเหตุผลของการจัดเก็บภาษีอย่างน้อย 3 ประการ กล่าวคือ ประการแรกเป็นเหตุผลในเรื่องของการจัดเก็บรายได้เข้าสู่รัฐ และนำรายได้ดังกล่าวไปใช้ในการบริหารประเทศด้านต่าง ๆ ซึ่งการจัดเก็บรายได้เข้าสู่รัฐถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งและเป็นเหตุผลที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ดังจะเห็นได้จากรัฐสามารถจัดเก็บภาษีบุหรี่ได้เป็นจำนวนหลายพันล้านบาทในแต่ละปีงบประมาณ
นอกจากนี้ ยังมีเหตุผลในเรื่องการควบคุมและจำกัดการบริโภคสินค้าบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้สูบและบุคคลรอบข้างที่ได้รับควันบุหรี่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้น เมื่อมีการจัดเก็บภาษีบุหรี่แล้ว บุหรี่ก็จะมีราคาสูงขึ้นและส่งผลทำให้ประชาชนลดการบริโภคบุหรี่ และประการสุดท้าย รัฐต้องการควบคุมกระบวนการผลิตและจำหน่ายบุหรี่ให้มีลักษณะเป็นสินค้าควบคุมและเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ซึ่งหากรัฐไม่เข้ามาควบคุมกระบวนการดังกล่าวแล้ว สินค้าบุหรี่อาจส่งผลกระทบทางลบต่อประชาชน สังคมและเศรษฐกิจของประเทศได้ในที่สุด
ในปัจจุบันประเทศไทยมีการจัดเก็บภาษีบุหรี่ด้วยอำนาจตามพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. 2509 โดยกฎหมายฉบับนี้กำหนดให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมยาสูบและผู้นำเข้ายาสูบมีหน้าที่ต้องเสียภาษียาสูบ ซึ่งการปิดแสตมป์ยาสูบบนซองยาสูบจะถือว่ายาสูบดังกล่าวได้มีการเสียภาษีเรียบร้อยแล้ว โดยต้องมีการปิดแสตมป์ยาสูบก่อนนำออกจากโรงงานสำหรับยาสูบที่ผลิตในประเทศ หรือก่อนที่จะรับมอบยาสูบไปจากเจ้าพนักงานศุลกากรสำหรับการนำเข้ายาสูบ อีกทั้งกฎหมายกำหนดให้มีการเสียค่าแสตมป์ยาสูบตามปริมาณยาสูบซึ่งกำหนดน้ำหนักเป็นกรัม และตามมูลค่าราคาขาย ณ โรงงานอุตสาหกรรมยาสูบหรือราคานำเข้า (ราคา ซี.ไอ.เอฟ.)
ซึ่งในขณะนี้การเพิ่มภาษีบุหรี่มีผลบังคับแล้ว เนื่องจากรัฐมนตรีคลังได้ออกกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าแสตมป์ยาสูบ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2559 เฉพาะบุหรี่ซิกาแรต (ยาสูบที่มวนด้วยกระดาษหรือวัสดุที่ใช้แทนกระดาษ) ต้องเสียค่าแสตมป์ยาสูบตามมูลค่าเป็นจำนวนร้อยละ 90 ของราคาขายหรือราคานำเข้าแล้วแต่กรณี (เดิมจัดเก็บร้อยละ 87) และเสียค่าแสตมป์ยาสูบตามปริมาณเป็นจำนวน 1.10 บาท ต่อกรัม (เดิมจัดเก็บ 1.0 บาทต่อกรัม)
เมื่อพิจารณากฎหมายการจัดเก็บภาษียาสูบและการเพิ่มภาษียาสูบดังกล่าวข้างต้นจะพบว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญกับผลกระทบจากการบริโภคบุหรี่ของประชาชนค่อนข้างมาก เนื่องจากในหมายเหตุท้ายกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวได้ระบุถึงเหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงว่า “โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมอัตราค่าแสตมป์ยาสูบสำหรับยาสูบประเภทบุหรี่ซิกาแรต โดยกำหนดอัตราดังกล่าวให้สูงขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน และเป็นการสนับสนุนนโยบายควบคุมการบริโภคยาสูบของรัฐ”
การเพิ่มภาษียาสูบจะส่งผลทำให้บุหรี่ที่จำหน่ายภายในประเทศปรับราคาขึ้นอีก 5-10 บาท ต่อซอง รัฐบาลคาดหวังว่าการเพิ่มภาษียาสูบในครั้งนี้จะส่งผลทำให้ประชาชนบริโภคยาสูบน้อยลงและสอดคล้องกับเป้าหมายการควบคุมการบริโภคยาสูบ
อย่างไรก็ดี บางส่วนยังมีความเห็นว่า การเพิ่มภาษียาสูบจนทำให้บุหรี่ที่ขายภายในประเทศมีราคาสูงขึ้นนั้นมิได้ส่งผลทำให้ประชาชนลดการบริโภคบุหรี่แต่ประการใด เนื่องจากประชาชนยังสามารถเข้าถึงและบริโภคบุหรี่ได้โดยเสรี ประกอบกับผู้ขายมักใช้กลยุทธ์การขายที่สามารถดึงดูดผู้ซื้อได้เป็นอย่างดี เช่น วิธีการแบ่งขายจากซองบุหรี่ ซึ่งจะทำให้ผู้ซื้อสามารถเข้าถึงและบริโภคบุหรี่ได้ง่ายขึ้น แม้ว่าบุหรี่จะมีราคาสูงขึ้นก็ตาม
นอกจากนี้ การที่บุหรี่ภายในประเทศมีราคาสูงขึ้นยังอาจส่งผลทำให้มีการลักลอบนำเข้าบุหรี่ที่มิได้มีการเสียภาษีจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น บุหรี่เหล่านี้มักเป็นบุหรี่ที่มีราคาถูกกว่าบุหรี่ภายในประเทศซึ่งหลายฝ่ายยังคงกังวลว่า บุหรี่กลุ่มนี้จะมีคุณภาพเทียบเท่ากับบุหรี่ที่ผลิตภายในประเทศหรือไม่ ซึ่งปัญหาการลักลอบนำเข้าบุหรี่อาจเป็นผลสะท้อนกลับของมาตรการเพิ่มภาษีบุหรี่ของรัฐบาลก็เป็นได้ ประกอบกับในปัจจุบันนี้ด้วยผลของความก้าวหน้าทางนวัตกรรมและเทคโนโลยีส่งผลทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ยาสูบชนิดใหม่ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบารากู่และบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งกำลังเป็นที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่หากพิจารณาในทางกฎหมายแล้วจะพบว่า กฎหมายยาสูบยังมิได้บัญญัติอย่างชัดเจนให้มีการจัดเก็บภาษีจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนี้แต่อย่างใด
ดังนั้น ในท้ายที่สุดแล้วการเพิ่มภาษีบุหรี่ในครั้งที่ผ่านมาและรวมถึงครั้งนี้ยังคงทำให้รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐต้องรับบทบาทและภาระหน้าที่เพิ่มขึ้น ในการดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายควบคุมการบริโภคยาสูบ ซึ่งอาจทำให้รัฐจัดเก็บรายได้ภาษีบุหรี่ลดน้อยลงก็เป็นไปได้
----------------
ดร.กฤษรัตน์ ศรีสว่าง
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์




