วิกฤติ Stablecoin-LUNA ผลกระทบรุนแรงหลายด้าน

วิกฤติ Stablecoin-LUNA ผลกระทบรุนแรงหลายด้าน

สัปดาห์ที่ผ่านมาผมเขียนเกี่ยวกับเงินสกุลคริปโทฯ ที่เป็น Stablecoin ชื่อ UST ว่ามีความผันผวนสูง ซึ่งเป็น DeFi (Decentralized Finance) คือ ไร้คนกลางและไม่มีสินทรัพย์จริงค้ำประกัน !!

สัปดาห์ที่ผ่านมาผมเขียนเกี่ยวกับเงินสกุลคริปโทฯ ที่เป็น Stablecoin ชื่อ UST ว่ามีความผันผวนสูง ซึ่งเป็น DeFi (Decentralized Finance) คือ ไร้คนกลางและไม่มีสินทรัพย์จริงค้ำประกัน แต่ทำงานโดยใช้อัลกอริทึม และมีเหรียญคู่กันชื่อ LUNA ค้ำประกันกันอยู่ปรากฎว่า เงินสกุลทั้งสองที่เคยมีมูลค่าตลาด (Market Capitalization) ใหญ่เป็นอันดับเก้าและสิบของสกุลเงินคริปโทฯ ทั้งหมดที่มีอยู่ มีมูลค่าลดลงอย่างรวดเร็ว เหรียญ LUNA ที่เคยมีราคาสูงสุด 119 ดอลลาร์เหลือค่าเพียงไม่ถึงหนึ่งเซนต์ หรือเหรียญ UST ซึ่งควรจะตรึงราคาไว้ได้ที่ 1 ดอลลาร์กลับมีมูลค่าเหลือเพียงไม่ถึง 10 เซนต์

การลดลงมาของมูลค่าเหรียญทั้งสองนอกจากทำความเสียหายให้กับผู้ถือเหรียญอย่างมาก โดยมูลค่าตลาดของเหรียญทั้งสองหายไปในช่วงเวลาไม่กี่วันถึงเกือบ 40,000 ล้านดอลลาร์นั้น ยังมีผลต่อความเชื่อมั่นในเงินสกุลคริปโทฯ ต่างๆ และเรื่องอื่นๆ อีกหลายด้าน

UST เป็น Stablecoin ที่เคยได้รับความนิยมอย่างมาก โดยทำงานบนบล็อกเชน Terra เช่นเดียวกับ Bitcoin หรือ Etherum ซึ่งนอกเหนือจากเหรียญ UST และ LUNA แล้ว ระบบนิเวศน์ของ Terra ก็ยังมีเหรียญอื่นๆ และระบบ DeFi ต่างๆ จำนวนมากที่พัฒนามาจากแพลตฟอร์มนี้เช่น กระเป๋าเงิน การฝากเงินแบบไร้คนกลาง หรือการแลกเปลี่ยนเงินแบบไร้คนกลาง ดังนั้นการขาดความเชื่อมั่นในบล็อกเชน Terra ก็ได้สร้างผลกระทบในวงกว้างต่อระบบบล็อกเชนและหลักการของ DeFi ที่ไร้คนกลางในการควบคุมไปด้วย

มีการคาดการณ์ผลกระทบต่อเนื่องที่อาจเกิดขึ้นมาจากวิกฤติของ UST และ LUNA ในหลายๆ ด้านดังนี้

1.มูลค่าตลาดโดยรวมของเงินสกุลคริปโทฯ ทั้งหมดลดลงเป็นปริมาณถึง 4 แสนล้านดอลลาร์ แม้ก่อนหน้านั้นมูลค่าตลาดคริปโทฯ โดยรวมจะลดลงไปอย่างมากแล้วเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED แต่ปรากฏการณ์ของ LUNA ยิ่งเป็นตัวซ้ำเติมตลาด จึงทำให้มูลค่าตลาดคริปโทฯ ที่เคยขึ้นสูงสุด 3 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ลดเหลือเพียง 1.25 ล้านล้านดอลลาร์
 

2. ลดความเชื่อมั่นของเงินคริปโทฯ ลง และทำให้บริษัทที่ทำธุรกิจด้านคริปโทฯ นี้มีมูลค่าหุ้นที่ลดลง ตัวอย่างเช่น บริษัท Coinbase ที่รับแลกเปลี่ยนเหรียญคริปโทฯ รายใหญ่ มีมูลค่าหุ้นในตลาด NASDAQ ลดลงมาถึง 40% และรวมถึงบริษัทที่เข้าไปถือเงินคริปโทฯ ต่างๆ หรือแม้กระทั่งยอดการซื้อขายของตลาด NFT ก็ลดลงไปกว่า 50% ในรอบ 7 วันที่ผ่านมา

3.ความพยายามผลักดันให้เกิดอัลกอริทึม Stablecoin โดยไม่ต้องมีสินทรัพย์จริงค้ำประกันอาจต้องเลิกไป เพราะก็เคยมี Stablecoin ลักษณะนี้ออกมาหลายเหรียญแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถตรึงให้มีมูลค่าเท่ากับหนึ่งดอลลาร์ได้ จนกระทั่งมีแพลตฟอร์ม Terra และเหรียญ UST ซึ่งกลายเป็น Stablecoin ที่มีมูลค่าตลาดเป็นอันดับสาม แล้วดูเหมือนว่าจะทำสำเร็จแต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน

4.ความเชื่อมั่นของ DeFi ในหลายด้านคงจะลดลงไป เพราะขาดการกำกับที่ดี ไม่ได้มีการวิเคราะห์ความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ก็อาจทำให้เกิดผลเสียกับผู้คนในวงกว้าง การล่มสลายของ LUNA ในรอบนี้อาจไม่ได้มีผลต่อสถาบันการเงินมากนัก แต่คนที่เชื่อในระบบจำนวนมากก็ต้องสูญเสียเงินไปเพียงชั่วพริบตา หรือแม้แต่แพลตฟอร์ม Terra ที่เคยระบุว่าจะจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากถึง 20% สำหรับ UST ก็คงทำให้ทุกคนขาดความเชื่อมั่นต่อแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่อาจมีเงื่อนไขแบบนี้เช่นกัน

5.    หน่วยงานกำกับในประเทศต่างๆ คงเข้ามาควบคุมเงินสกุลคริปโทฯ ที่มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของ Stablecoin ที่เคยคิดว่าจะนำมาเป็นสกุลเงินในการทำธุรกรรมซื้อขายสินค้าและบริการได้เหมือนสกุลเงินทั่วไป ก็จำเป็นต้องมีการตรวจสอบและควบคุมมากขึ้น เพราะแม้แต่ Stablecoin ที่มีสินทรัพย์จริงๆ ค้ำประกันก็เคยมีประเด็นที่น่าสงสัยว่ามีจำนวนสินทรัพย์ค้ำอยู่จริงเท่ากับมูลค่าที่ควรเป็นหรือไม่ รวมไปถึงการควบคุมการโฆษณาการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลต่างๆ คงเห็นการกำกับดูแลที่เข้มข้นขึ้น

6. กลุ่มทุน (Venture Capital) ต่างๆ คงลดการลงทุนในธุรกิจด้านคริปโทฯ ไประยะหนึ่ง จนกว่าความเชื่อมั่นจะกลับมา

7.ความเชื่อมั่นในเรื่อง Web 3.0 หรือ Metaverse คงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง เพราะ Web 3.0 จะต้องใช้เทคโนโลยีหลายด้าน รวมถึงบล็อกเชนและเงินคริปโทฯ ต่างๆ ที่จะใช้เป็นเงินในการทำธุรกรรมในโลกดิจิทัล ดังจะเห็นได้ว่าแพลตฟอร์ม Metaverse อย่าง Sandbox ที่ต้องใช้เหรียญ SAND มีมูลค่าของเหรียญลดลงไปกว่า 40%

เงินสกุลคริปโทฯ อย่าง Bitcoin เคยพบกับวิกฤติใหญ่มาหลายรอบแล้ว แต่ครั้งนี้แตกต่างกับที่ผ่านมา เพราะวิกฤติคราวนี้เกี่ยวข้องกับความเชื่อมั่นของระบบที่จะทำให้เกิดระบบ DeFi ด้วย และบางส่วนก็ส่งผลกระทบไปถึงด้านเทคโนโลยี คงทำให้ต้องใช้เวลาในการที่จะเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้ หรืออาจต้องนำเสนอแนวทางอัลกอริทึมหรือโปรโตคอลใหม่ๆ ที่จะทำให้ผู้คนมีความมั่นใจในสกุลเงินคริปโทฯ ต่างๆ ได้มากขึ้น

แต่อย่างไรก็ตามผมก็ยังเชื่อว่าเงินคริปโทฯ และเทคโนโลยีบล็อกเชนยังมีประโยชน์อย่างมากมาย ถ้าเรานำไปใช้ในทางที่เหมาะสม