ข้อคิดจากสิงห์สาราสัตว์ | วรากรณ์ สามโกเศศ

ข้อคิดจากสิงห์สาราสัตว์ | วรากรณ์ สามโกเศศ

มนุษย์ใช้ลักษณะทางกายภาพและพฤติกรรมของสัตว์อธิบายปรากฏการณ์ของโลกมนุษย์ และให้ข้อคิดมายาวนานและอย่างได้ผล วันนี้ขอนำมารวบรวมเพื่อเป็นอาหารสมอง

สัตว์ตัวแรกคือ “กบในน้ำเดือด”   มีการอ้างกันมานานว่าหากเอากบใส่ในหม้อน้ำที่ตั้งไว้บนเตาไฟตั้งแต่ยังเย็น     มันจะอยู่อย่างมีความสุขถึงแม้อุณหภูมิจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะการเป็นสัตว์เลือดเย็นทำให้สามารถปรับอุณหภูมิในร่างกายให้สอดคล้องกับข้างนอกได้โดยมิได้ตระหนักถึงอันตราย    

กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เมื่อน้ำเดือดและกลายเป็นส่วนประกอบของต้มโคล้งไปแล้ว     เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าคนและองค์กรที่ไม่ยอมปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป     พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทีละน้อยเหมือนอุณหภูมิของน้ำ และกว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว

เรื่องเล่านี้เข้าท่า และน่าจำเอาไปใช้ต่อ ๆ กันดังที่ทำกันมาเป็นร้อยปีแล้ว    เสียแต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงเชิงวิทยาศาสตร์   ในปี ค.ศ. 1869 แพทย์ชาวเยอรมัน Friedrich Goltz สาธิตให้เห็นว่ากบโดดออกมาจากหม้อทั้งนั้นเมื่อน้ำร้อนขึ้น   

 นอกจากนี้มีการทดลองอีกหลายครั้งและก็ได้ผลเหมือนกัน  ล่าสุดในปี 1995 Douglas Melton แห่งมหาวิทยาลัย Harvard ก็ทดลองอีกและได้ข้อสรุปว่า   “กบโดดออกมาจากหม้อเมื่อน้ำร้อนขึ้น    มันไม่นั่งอยู่เพื่อเอาใจมนุษย์    และถ้าโยนกบลงไปในหม้อน้ำเดือดมันไม่โดดออกมาแน่นอน    เพราะมันตายแล้ว” อย่างไรก็ดี   ผู้คนก็ยังคงใช้เรื่อง “กบในน้ำเดือด”  เป็นเรื่องเล่าต่อไปอยู่ดี

ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องจริงแต่ก็ได้ข้อคิดนั่นก็คือคำว่า “creeping normality” หรือ “การคืบคลานสู่ความเป็นปกติ”    

กล่าวคือคนจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ว่าเป็นสถานการณ์ปกติได้หากมันเกิดขึ้นช้า ๆ โดยไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้น   แต่ถ้าเปลี่ยนแปลงอย่างมากและอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น ๆ แล้ว    ก็จะเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่ยอมรับ

ตัวอย่างเช่นเรื่องการบุกรุกการถมคลองในยุค 2500 ของพระนคร /  การเกิดขึ้นของสลัม / เสรีนิยมในเรื่องเพศ / คอร์รัปชั่น / การมีกิ๊ก   ฯลฯ   ไม่มี creeping normality ใดที่เลวร้ายไปกว่าการที่สังคมเห็นการเป็นคนเลว    ความชั่ว   การทรยศนอกใจคู่รักหรือสามีภรรยา   การซื้อขายเสียง   การซื้อ ส.ส. และคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดา

สัตว์ตัวต่อไปคือนกกระจอกเทศ ที่ว่ากันว่าชอบเอาหัวซุกทรายเวลาเผชิญกับอันตราย           นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมด้านการเงินชาวอิสราเอลสองคนตั้งชื่อปรากฏการณ์ว่า Ostrich Effect (OE ปรากฏการณ์นกกระจอกเทศ)    

ข้อคิดจากสิงห์สาราสัตว์ | วรากรณ์ สามโกเศศ

เมื่อมนุษย์หลีกเลี่ยงการรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์การเงินที่น่าอันตรายโดยกระทำราวกับว่ามันไม่ได้เกิดขึ้น   หรือพูดให้กว้างหน่อยว่าเป็นการหลีกเลี่ยงตนเองจากการรับทราบข้อมูลทางการเงินที่เป็นลบซึ่งเกรงว่าจะก่อให้เกิดความไม่สบายใจ

ต่อมา OE กินความหมายไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันด้วยดังตัวอย่างต่อไปนี้   
(1)  คนที่เป็นโรคเบาหวานจำนวนหนึ่งไม่ติดตามเฝ้าดูตัวเลขของระดับน้ำตาลในเลือดซึ่งเป็นหนทางควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเกรงว่าหากเห็นตัวเลขสูงแล้วจะไม่สบายใจ    
(2)  คนไม่ยอมไปตรวจโรคเพราะกลัวพบว่าเป็นโรคซึ่งจะทำให้ทุกข์ใจ  ดังนั้นสู้ไม่ไปตรวจเสียดีกว่า   กล่าวคือเอาหัวซุกทรายและแสร้งทำเสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วมันก็จะหายไปเอง   
 (3)  OE เกิดขึ้นกับผู้ที่ไม่อยู่ในสภาพที่สามารถชำระหนี้ได้แต่ก็ไม่ติดต่อกับสถาบันการเงิน   ปล่อยให้หนี้เพิ่มพูนโดยกระทำตนราวกับว่าหากไม่รับรู้แล้วหนี้มันจะละลายหายไป
OE 

โดยแท้จริงแล้วคือ ผลพวงของความขัดแย้งระหว่างสมองของเรา ซึ่งใช้เหตุใช้ผลอย่างตระหนักว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องรับรู้กับอารมณ์ของเรา ที่คาดคะเนว่าจะเป็นเรื่องที่เจ็บปวดจึงต้องการหลีกเลี่ยง     

หากไม่อยากเสียหายจาก OE  สมองของเราต้องทำหน้าที่อย่างเหนืออารมณ์    ความกล้าที่จะเผชิญความไม่สบอารมณ์เท่านั้นที่จะปราบเจ้านกกระจอกเทศที่ชอบเอาหัวซุกทรายนี้ได้

ข้อคิดจากสิงห์สาราสัตว์ | วรากรณ์ สามโกเศศ

สัตว์ตัวที่สามคือกระต่ายขาว    ลองจินตนาการว่าถ้าใครบอกเราให้หลับตาและนึกถึงอะไรต่ออะไรก็ได้ยกเว้นอย่างเดียวคือกระต่ายขาวแล้วอะไรจะเกิดขึ้น   เราจะเห็นภาพกระต่ายขาวขึ้นมาทันที  

ทั้ง ๆ ที่ตลอดปีสองปีที่ผ่านมานี้ไม่เคยนึกถึงภาพกระต่ายขาวเลยสักครั้ง   ที่เราเห็นขึ้นมาก็เพราะมีคนเตือนใจให้เรานึกถึงมัน   ถ้า “กระต่ายขาว” คือจุดอ่อน ข้อบกพร่องหรือข้ออ่อนด้อยของเรา และเราไปเอ่ยให้คนอื่นฟัง    มันก็จะเป็น “กระต่ายขาว” ตัวใหญ่

ในการสัมภาษณ์งาน “คุณมีข้อเด่นอยู่ อยากรู้ว่าคุณมีข้ออ่อนด้อยอะไรบ้าง”    ด้วยการพยายามแสดงความจริงใจแต่บังเอิญเซ่อจึงตอบไปว่า “ผมเป็นคนหัวปานกลาง และตอนเช้าลุกจากที่นอนลำบากมาก”    

เมื่อ “กระต่ายขาว” หลุดออกมาเช่นนี้ผู้สอบสัมภาษณ์ก็จะเห็นว่าเป็นคนไม่ฉลาดและขี้เกียจเพราะออกมาจากปากเขาเอง     นักการเมืองในการหาเสียงบอกว่า “ผมอายุก็มากแล้ว สุขภาพก็ไม่ค่อยดี   แต่พร้อมที่จะรับใช้พี่น้องอย่างเต็มที่” (ภาพจะเป็นว่าเขาแก่มากและใกล้ตาย)  

“ถึงผมจะถูกกล่าวหาว่าคอร์รัปชัน   แต่ศาลก็พิสูจน์แล้วว่าผมบริสุทธิ์” (ไอ้นี่มันจอมโกง)     “พี่ขาหนูเคยมีแฟนมา 2-3 คน แต่รักที่จะจบลงที่พี่” (สงสัยเคยมีแฟนมาเป็นโหลแล้วแน่ๆ)   ฯลฯ   

นี่คืออิทธิฤทธิ์ของ “กระต่ายขาว”  มนุษย์จะรับทราบข้อมูลและขยายเป็นภาพใหญ่ขึ้นเสมอโดยเฉพาะในทางที่เป็นลบ    

ประเด็นคือถ้าไม่อยากให้ใครนึกถึงเรื่องอะไรก็อย่าไปเอ่ยถึงมันเสียแต่แรกเลยจะดีกว่า โดยเฉพาะถ้าไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นไปในทิศทางใด   ให้คนอื่นเขาพยายามค้นหาข้ออ่อนด้อยของเราด้วยตัวเขาเองโดยไม่ต้องไปนำเสนอ หรือชี้แนะ

กบ   นกกระจอกเทศ  และกระต่าย ให้ข้อคิดแก่มนุษย์ได้เป็นอย่างดีโดยตัวเขาเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีบุญคุณกับมนุษย์     แต่เราก็สามารถตอบแทนได้ด้วยการรักษาความมีเมตตาต่อเขาไว้อย่างมั่นคง.