เงินเฟ้อไทยสูง เมื่อไหร่ถึงเรียกว่าน่ากังวล?

เงินเฟ้อไทยสูง เมื่อไหร่ถึงเรียกว่าน่ากังวล?

เงินเฟ้อไทยเร่งตัวขึ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาสูงถึง 5% ปัจจัยหลักมาจากราคาพลังงานที่พุ่งขึ้นจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน

คำถาม คือ ภาวะเงินเฟ้อสูงนี้จะยืดเยื้อไปอีกนานเท่าไหร่? ธนาคารกลางจะสามารถช่วยบรรเทาเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้นได้ไหม? และสถานการณ์เงินเฟ้อตอนนี้ เรียกได้ว่าน่ากังวลแล้วหรือยัง?

ภาวะเงินเฟ้อสูงนี้จะยืดเยื้อไปอีกนานเท่าไหร่?
ธปท. คาดว่า เงินเฟ้อไทยจะอยู่ในระดับสูงในปีนี้ ก่อนจะลดเข้าสู่กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1-3% ในปีหน้า เงินเฟ้อไทยครั้งนี้เกิดจากปัจจัยด้านอุปทาน (cost-push inflation) ที่ส่งผลจำกัดอยู่ในหมวดอาหารและพลังงานเป็นส่วนใหญ่

ข้อมูลกระทรวงพาณิชย์เดือนที่ผ่านมา จะพบว่ามีราคาสินค้าและบริการเพียง 14% จากทั้งหมด 430 รายการที่มีการขึ้นราคาสูงกว่าปกติ

เงินเฟ้อ ประเภทนี้ มักคลี่คลายได้เองตามกลไกของตลาด โดยราคาเนื้อหมูที่เริ่มลดลงตั้งแต่เดือน กพ. จากปัญหาโรคระบาดอหิวาต์แอฟริกาในสุกรที่ทุเลาลง แม้ว่าราคาอาหารสำเร็จรูปจะแพงขึ้นตามไปบ้างแล้ว แต่การส่งผ่านของต้นทุนนี้ไม่น่าจะทำได้มากเพราะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ 

ส่วนราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับสูงขึ้นมากตามปัจจัยโลก ก็มีแนวโน้มลดลงในช่วงปลายปีนี้ หากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนคลี่คลาย และอุปทานน้ำมันเพิ่มขึ้นจากการระบายน้ำมันดิบจากคลังสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ 

ธนาคารกลางจะสามารถช่วยบรรเทาค่าครองชีพที่สูงขึ้นได้ไหม?

เมื่อเงินเฟ้อเกิดจากฝั่งอุปทานและเป็นเหตุการณ์ชั่วคราว บทบาทของธนาคารกลางในการรับมือกับเงินเฟ้อประเภทนี้จึงมีอยู่จำกัด การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ ธปท. ไม่สามารถแก้ปัญหาอุปทานได้ มิหนำซ้ำ อาจทำให้ภาวะการเงินตึงตัวเร็วไปจนทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสะดุดลง 

โดยเฉพาะไปซ้ำเติมกลุ่มคนมีรายได้น้อยที่อาจมีหนี้ครัวเรือนสูงอยู่แต่เดิม และได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นมากกว่าคนกลุ่มอื่นอยู่แล้ว (กลุ่มคนรายได้น้อยมีสัดส่วนการบริโภคอาหารและน้ำมันสูงกว่ากลุ่มคนรายได้สูงประมาณ 17%)

ถามว่าเมื่อไหร่ที่นโยบายการเงิน ควรมีบทบาทในการช่วยลดทอนเงินเฟ้อ?

หากเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้วและเงินเฟ้อสูงขึ้นตามความต้องการบริโภค (demand-pull inflation) การขึ้นดอกเบี้ยถือได้ว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ อย่างเช่นที่เกิดขึ้นในกรณีของสหรัฐฯ ที่เผชิญ pent-up demand และตลาดแรงงานตึงตัวมาก

เงินเฟ้อไทยสูง เมื่อไหร่ถึงเรียกว่าน่ากังวล?

 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังไม่เข้าข่ายเงินเฟ้อในลักษณะนี้ เพราะไทยจะฟื้นตัวจากวิกฤตเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป การดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย และใช้มาตรการเฉพาะจุดโดยภาครัฐเพื่อดูแลปัญหาค่าครองชีพ เช่น การอุดหนุนราคาน้ำมันและก๊าซหุงต้ม จึงยังจำเป็นเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่อง

สถานการณ์เงินเฟ้อตอนนี้ เรียกได้ว่าน่ากังวลแล้วหรือยัง?

เงินเฟ้อที่มาจาก cost-push และ demand-pull ไม่ได้นับว่าเป็นเงินเฟ้อที่น่ากังวล เพราะเกิดขึ้นได้เป็นปกติจากความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ยกเว้นจะมีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันในลักษณะ Perfect storm 

เช่น บาทอ่อนค่า ค่าจ้างขั้นต่ำปรับขึ้นแรง ภาครัฐหมดมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซล ก๊าซหุงต้ม ฯ ต้นทุนสินค้าและวัตถุดิบปรับเพิ่มขึ้นมาก กอปรมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับเข้ามาจำนวนมากจน

ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคฟื้นตัว ผู้ประกอบการก็จะสามารถส่งผ่านต้นทุนได้ง่ายขึ้น ทำให้ราคาสินค้าและบริการได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็นวงกว้าง ในกรณีนี้ ธปท. อาจปรับน้ำหนักที่ให้กับการดูแลเสถียรภาพราคาในระยะยาวมากกว่า

การขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในจังหวะที่เหมาะสม แต่หากสถานการณ์ที่น่ากังวลไปกว่านั้นคือ เงินเฟ้อที่สูงต่อเนื่องจนทำให้ครัวเรือนกับภาคธุรกิจเริ่มปรับเงินเฟ้อคาดการณ์ (inflation expectations) สูงขึ้น จนส่งผลต่อพฤติกรรมการกำหนดราคาสินค้าและค่าจ้างของผู้ประกอบการ 

เงินเฟ้อไทยสูง เมื่อไหร่ถึงเรียกว่าน่ากังวล?

ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในวิกฤตน้ำมันแพงช่วงปี 1970 ที่นำไปสู่ปัญหา wage-price spiral ตามมา นั่นคือ แรงงานไปต่อรองให้ค่าจ้างของตนสูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องขึ้นราคาสินค้าตามต้นทุนค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น ซึ่งในท้ายที่สุด ก็ย้อนกลับมากระทบค่าครองชีพอีกครั้ง

เงินเฟ้อในลักษณะนี้ถึงแม้มีโอกาสเกิดค่อนข้างน้อย เนื่องจากตลาดแรงงานต้องตึงตัวมาก ประกอบกับอำนาจการต่อรองของแรงงานไทยยังมีน้อย แต่หากเกิดขึ้นแล้ว จะส่งผลให้เงินเฟ้อค้างสูงเป็นเวลานาน

 เนื่องจากเป็นเงินเฟ้อที่ฝังลึกเข้าไปในการคาดการณ์ ความรู้สึก และพฤติกรรมของประชาชน ยากที่จะคลี่คลายเองได้ ดังนั้น ในกรณีนี้ นโยบายการเงินอาจต้องใช้ยาแรงเพื่อดึงให้เงินเฟ้อปรับลดลงมาอีกครั้ง

อย่างไรก็ดี ข้อมูลเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะยาว (5-10 ปี) ที่ ธปท. ติดตามถือว่า ยังไม่มีสัญญาณที่น่ากังวล จากรูปประกอบ สะท้อนว่า ถึงแม้เงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้น (1 ปี) ในปัจจุบันและในช่วงปี 2007-2008 จะอ่อนไหวไปกับราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น แต่เงินเฟ้อคาดการณ์ระยะยาวในทั้งสองช่วงก็ไม่ได้เพิ่มตาม

สะท้อนมุมมองของสาธารณชนที่ยังเชื่อว่า ธปท. จะสามารถดูแลเงินเฟ้อให้กลับมาอยู่ในระดับต่ำได้ในระยะข้างหน้า 

เงินเฟ้อไทยสูง เมื่อไหร่ถึงเรียกว่าน่ากังวล?

     แม้ว่าปัจจุปัน ธปท. จะประเมินว่าปัญหาเงินเฟ้อจะค่อย ๆ คลี่คลาย แต่ ธปท.ไม่นิ่งนอนใจ มีการจับตาอย่างใกล้ชิด และจะไม่ให้ปัญหาเงินเฟ้อเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

รวมถึงทำให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า “อัตราเงินเฟ้อจะกลับมาอยู่ในระดับต่ำและมีเสถียรภาพในระยะยาว อันจะเป็นหัวใจสำคัญต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจไทยต่อไป”

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของ ธปท.

เงินเฟ้อไทยสูง เมื่อไหร่ถึงเรียกว่าน่ากังวล?
คอลัมน์ แจงสี่เบี้ย
ดร.พิม มโนพิโมกษ์
ดร.นุวัต หนูขวัญ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)