บ้านไม่เสร็จ ศรัทธาพัง สงครามราคา สั่นคลอนตลาดรับสร้างบ้าน

บ้านไม่เสร็จ ศรัทธาพัง สงครามราคา สั่นคลอนตลาดรับสร้างบ้าน

คดีผู้บริโภครวมตัวฟ้องร้องบริษัทรับสร้างบ้านไม่ใช่แค่ปัญหาทิ้งงานสั่นคลอน ธุรกิจตลาดรับสร้างบ้าน ศรัทธาเมื่อราคาถูกกลายเป็นกับดัก

KEY

POINTS

  • ผู้บริโภคกว่า 160 รายฟ้องร้องบริษัทรับสร้างบ้านรายใหญ่เหตุทิ้งงาน ก่อสร้างไม่เสร็จตามสัญญา สร้างความเสียหายรวมกว่า 300 ล้านบาท
  • สาเหตุหลักเกิดจากโมเดลธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์ "สงครามราคา" เสนอราคาต่ำกว่าต้นทุนจริงเพื่อดึงดูดลูกค้า จนเกิดปัญหาสภาพคล่องและนำไปสู่การทิ้งงานในที่สุด
  • เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมมาให้ความสำคัญกับการตรวจสอบมาตรฐานและสัญญามากกว่าราคา และผลักดันให้เกิดการสร้างมาตรฐานกลางของอุตสาหกรรมเพื่อฟื้นความเชื่อมั่น

จากบ้านในฝัน สู่คดีความ 300 ล้าน วิกฤตศรัทธาที่ตลาดรับสร้างบ้านไม่เคยเผชิญ

ตลาดรับสร้างบ้านไทยกำลังเผชิญแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ หลังผู้บริโภคกว่า 160 ราย จากทั่วประเทศ รวมตัวเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับบริษัทรับสร้างบ้านรายหนึ่ง ซึ่งถูกจัดอยู่ในกลุ่มผู้ประกอบการ “รายใหญ่ มีหลายสาขา” ของตลาด

ข้อมูลจากสมาคมไทยรับสร้างบ้าน (THBA) ระบุว่า มูลค่าความเสียหายรวมสูงกว่า 300 ล้านบาท ข้อร้องเรียนมีรูปแบบคล้ายคลึงกัน ตั้งแต่การเบิกเงินงวดไปแล้วแต่หยุดก่อสร้าง การปล่อยงานค้างนานหลายปี ไปจนถึงคุณภาพงานที่ไม่ได้มาตรฐานตามสัญญา


 

บางกรณี บ้านมูลค่ากว่า 4–5 ล้านบาท ผ่านไปเกือบ 2 ปี ยังเหลือเพียงโครงสร้างโล่ง ไม่มีประตู หน้าต่าง หรือช่างเข้าพื้นที่ ความฝันเรื่อง “บ้านหลังแรก” จึงกลายเป็นภาระหนี้และคดีความยืดเยื้อ

บ้านไม่เสร็จ ศรัทธาพัง สงครามราคา สั่นคลอนตลาดรับสร้างบ้าน

รากปัญหาไม่ใช่โกง แต่คือ “โมเดลธุรกิจพัง”

การวิเคราะห์ของ THBA ชี้ว่า วิกฤตครั้งนี้อาจไม่ได้เริ่มจากเจตนาฉ้อโกง หากแต่เกิดจาก ความล้มเหลวของโมเดลธุรกิจ โดยเฉพาะกลยุทธ์อันตรายอย่าง “สงครามราคา”

บริษัทเสนอราคาค่าก่อสร้างต่ำกว่าตลาดอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อดึงดูดลูกค้างบจำกัด แต่ราคาที่ดูคุ้มในวันเซ็นสัญญา กลับกลายเป็นชนวนของวิกฤตในระยะยาว

บ้านไม่เสร็จ ศรัทธาพัง สงครามราคา สั่นคลอนตลาดรับสร้างบ้าน

เมื่อราคาต่ำกว่าต้นทุนจริง วงจรปัญหาจึงเริ่มต้น

ตั้งแต่วิกฤตสภาพคล่อง การลดคุณภาพวัสดุ การใช้แรงงานไร้ฝีมือ
จนถึงการนำเงินลูกค้าใหม่มาหมุนจ่ายงานเก่า กลไกที่คล้าย Ponzi โดยไม่รู้ตัวและเมื่อยอดขายชะลอ วงจรเงินสดสะดุด การก่อสร้างทุกโครงการก็หยุดพร้อมกันปลายทางคือคำเดียวที่ผู้บริโภคหวาดกลัวที่สุด“ทิ้งงาน” พังยิ่งกว่าทิ้งงาน คือ “ทุบความเชื่อเดิมของผู้บริโภค”

ผลกระทบที่รุนแรงที่สุด ไม่ใช่ความเสียหายทางการเงินแต่คือการ ทำลายกลยุทธ์ลดความเสี่ยงของผู้บริโภคทั้งตลาดในอดีต ผู้บริโภคเชื่อว่า “ถ้าไม่อยากเสี่ยง ก็เลือกบริษัทใหญ่ มีแบรนด์ มีหลายสาขา”

แต่คดีนี้กลับตอกย้ำข้อสรุปใหม่ที่เจ็บปวดกว่าเดิมว่า “แม้แต่รายใหญ่ก็เชื่อไม่ได้”

นี่คือจุดกำเนิดของ “วิกฤตศรัทธา” อย่างแท้จริง

ไม่ใช่ความกลัวใหม่ แต่คือการยืนยันว่า ความกลัวเดิมนั้น “เป็นเรื่องจริง”  เมื่อข้อมูลสาธารณะไม่น่าเชื่อ ตลาดจึงถอยสู่โลกใต้ดิน         อีกผลกระทบที่ค่อยๆกัดกินตลาดคือการเสื่อมค่าของข้อมูลผู้บริโภคเริ่มตั้งคำถามกับรีวิวออนไลน์ เพจโฆษณา และการตลาดดิจิทัล

เมื่อเสียงวิจารณ์ถูกลบ ถูกข่มขู่ หรือถูกจัดการด้วยกระบวนการทางกฎหมาย ผู้บริโภคจึงหันไปพึ่ง “หลังไมค์” และเครือข่ายส่วนตัว
เกิดปรากฏการณ์ “Dark Social” ที่ข้อมูลจริงกระจายแบบลับ ๆ ตรวจสอบยาก  ผลลัพธ์คือ บริษัทดี ๆ แยกตัวไม่ออกจากบริษัทเสี่ยง
ขณะที่ผู้บริโภคต้องใช้พลังมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าเพียงเพื่อจะตัดสินใจสร้างบ้านหนึ่งหลัง

ผู้บริโภคเปลี่ยนเกม จากดูราคา สู่ตรวจลึก

THBA ประเมินว่า วิกฤตครั้งนี้กำลังบังคับให้ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมครั้งใหญ่จาก “เลือกถูก” เป็น “เลือกที่ตรวจสอบได้”ผู้บริโภคเริ่มมองหาสัญญาที่เป็นธรรม งวดเงินที่ผูกกับงวดงานตรวจผลงานจริงมากกว่าภาพโฆษณาและให้ความสำคัญกับมาตรฐาน มากกว่าคำเคลม

ในอีกด้านหนึ่ง บริษัทรับสร้างบ้านก็ถูกกดดันให้ยกระดับตัวเอง
เพราะชื่อเสียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป

จากการตลาดบนศรัทธา สู่การตลาดบนมาตรฐาน

สมาคมไทยรับสร้างบ้านจึงเดินเกมระยะยาว ด้วยการผลักดัน
“คู่มือมาตรฐานการก่อสร้างบ้านพักอาศัย”ครอบคลุมตั้งแต่วัสดุ กระบวนการก่อสร้าง การตรวจคุณภาพไปจนถึงจรรยาบรรณและความถูกต้องทางภาษี

เป้าหมายคือเปลี่ยนสนามแข่งขันจากการขายความเชื่อมั่นเชิงภาพลักษณ์สู่การแข่งขันบน มาตรฐานที่ตรวจสอบได้

วิกฤตที่บังคับให้ทั้งระบบต้องโต

คดีผู้บริโภคฟ้องบริษัทรับสร้างบ้านรายใหญ่ ไม่ใช่แค่ปัญหาของบริษัทเดียวแต่คือ “ตัวเร่ง” ที่เปิดโปงรอยร้าวเชิงโครงสร้างของทั้งอุตสาหกรรม

หากวิกฤตนี้จะมีคุณค่าใดหลงเหลือมันอาจเป็นโอกาสให้ผู้บริโภคเข้มแข็งขึ้นผู้ประกอบการยกระดับตัวเองและภาครัฐขยับจากการแก้ปลายเหตุ สู่การกำกับเชิงป้องกัน

เพราะในวันที่ “บ้าน” คือการลงทุนทั้งชีวิตสิ่งที่ตลาดต้องส่งมอบ ไม่ใช่แค่ปูน เหล็ก และหลังคาแต่คือ ความเชื่อมั่นที่สร้างเสร็จจริง ไม่ทิ้งไว้กลางทาง