แสนสิริจับมือมิตซุย อัด 9.5 พันล้าน ลุย 2 โครงการ เจริญนคร–จตุโชติ

แสนสิริจับมือมิตซุย อัด 9.5 พันล้าน ลุย 2 โครงการ เจริญนคร–จตุโชติ

แสนสิริเดินหมาก Strategic Partnership ต่อเนื่อง จับมือมิตซุย ฟุโดซัง ลุย 2 โครงการใหม่ เจริญนคร–จตุโชติ ดันพอร์ต JV ทะลุ 2 หมื่นล้าน

ในจังหวะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังต้องเผชิญความผันผวนจากกำลังซื้อและต้นทุนทางการเงิน การ “เลือกลงทุน” จึงสำคัญไม่แพ้ “ขนาดการลงทุน” และนั่นคือเหตุผลที่การประกาศความร่วมมือรอบล่าสุดระหว่าง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กับ มิตซุย ฟุโดซัง เอเชีย ดีเวลลอปเมนท์ (ไทยแลนด์) ถูกจับตามองเป็นพิเศษ

ดีลนี้ไม่ใช่เพียงการเปิดตัวโครงการใหม่ แต่คือการตอกย้ำยุทธศาสตร์ Strategic Partnership ที่ทั้งสองฝ่ายเดินหน้าร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ด้วยการลงทุนพัฒนา 2 โครงการร่วมทุน (JV) มูลค่ารวม 9,500 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียมริมแม่น้ำเจ้าพระยา และบ้านเดี่ยวลักชัวรีบนทำเลวงแหวนตะวันออก


 

หากนับรวมโครงการก่อนหน้า ความร่วมมือระหว่างแสนสิริกับกลุ่มมิตซุย ฟุโดซัง ขยายพอร์ต JV รวมเป็น 5 โครงการ มูลค่ากว่า 20,900 ล้านบาท สะท้อนความสัมพันธ์เชิงลึกที่ก้าวข้าม “พันธมิตรทางธุรกิจ” สู่การเป็น “คู่คิดเชิงกลยุทธ์” อย่างแท้จริง

แสนสิริจับมือมิตซุย อัด 9.5 พันล้าน ลุย 2 โครงการ เจริญนคร–จตุโชติ

เจริญนคร–จตุโชติ ทำเลศักยภาพ

โครงการไฮไลต์แรก คือ คอนโดใหม่วิวแม่น้ำเจ้าพระยา ย่านเจริญนคร มูลค่า 6,500 ล้านบาท บนทำเล Rare Item ที่มีทางเข้าติดถนนใหญ่ ใกล้แลนด์มาร์กระดับโลกอย่างไอคอนสยาม และโครงข่ายคมนาคมครบทั้งรถยนต์ รถไฟฟ้า และเรือโดยสาร

ทำเลดังกล่าวไม่เพียงตอบโจทย์การอยู่อาศัยระดับบน แต่ยังสะท้อนมุมมองการลงทุนระยะยาวของพันธมิตรญี่ปุ่น ที่มองเห็นศักยภาพการเติบโตของโซนริมแม่น้ำในฐานะ “Countdown Destination” ของกรุงเทพฯ โดยโครงการมีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการต้นปี 2569
 

แสนสิริจับมือมิตซุย อัด 9.5 พันล้าน ลุย 2 โครงการ เจริญนคร–จตุโชติ

ขณะที่อีกหนึ่งโครงการ คือ เศรษฐสิริ เกรท วงแหวน–จตุโชติ มูลค่า 3,000 ล้านบาท บ้านเดี่ยวระดับพรีเมียมที่ต่อยอดความสำเร็จจากเฟสแรก ดีไซน์ Art Deco บนที่ดินขนาดใหญ่ 100–200 ตารางวา ติดวงแหวนกาญจนาภิเษก ใกล้ทางด่วนฉลองรัช

จุดเด่นอยู่ที่ความเป็นส่วนตัว พื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ และส่วนกลางระดับ Luxury ซึ่งสะท้อนการอ่านเกมตลาดครอบครัวกำลังซื้อสูง ที่ยังมีดีมานด์ชัดเจน แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว

ความเชื่อมั่นที่สะท้อนผ่านตัวเลข

สำหรับมิตซุย ฟุโดซัง การเดินหน้าลงทุนต่อเนื่องกับแสนสิริ คือสัญญาณความเชื่อมั่นในศักยภาพผู้พัฒนาอสังหาฯ ไทย ที่โดดเด่นทั้งด้านคุณภาพ การออกแบบ ฟังก์ชัน และบริการหลังการขาย ขณะที่แสนสิริเองก็ใช้ JV เป็นกลไกสำคัญในการกระจายความเสี่ยง และเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน

ภาพดังกล่าวสะท้อนชัดจากผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 2568 ที่แสนสิริทำรายได้รวม 23,670 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 3,029 ล้านบาท ครองอันดับ 1 ในกลุ่มผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ท้าทาย

ในวันที่อสังหาฯ ไม่ใช่เกมของ “ใครใหญ่กว่า” แต่คือ “ใครยืดหยุ่นและมองไกลกว่า” การจับมือข้ามชาติครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่การเปิดโครงการใหม่ แต่คือการส่งสัญญาณว่า แสนสิริยังพร้อมเดินเกมรุก และตลาดไทยยังอยู่ในเรดาร์ของทุนคุณภาพจากญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง