ธุรกิจใหม่ “ซื้อขายคาร์บอนเครดิต” อีก 10 ปีโตแรง 15 เท่าตัว

ธุรกิจใหม่ “ซื้อขายคาร์บอนเครดิต”  อีก 10 ปีโตแรง 15 เท่าตัว

จากนี้ไปคนในแวดวงธุรกิจจะต้องได้ยินบ่อยขึ้นกับคำว่า “ตลาดคาร์บอน” (Carbon Market) หรือ ตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิ

โดยผู้ที่ก่อมลพิษ หรือปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะมีต้นทุนในปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือต้องบรรเทา หรือ ชดเชยผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับโลก ด้วยการทำให้การลดก๊าซเรือนกระจกมีราคา หรือคาร์บอนเครดิต และกำหนดให้ตลาดคาร์บอนเป็นสื่อในการซื้อขาย แลกเปลี่ยน “คาร์บอนเครดิต”  และตลาดคาร์บอนยังมีหน้าที่ทำให้เกิดจุดดุลยภาพ (equilibrium) ว่าด้วยการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิลดลงด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด

องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO ระบุว่า   สถานการณ์ตลาดคาร์บอนในต่างประเทศมีผู้เล่นหนักๆ เช่น สหภาพยุโรป หรือ อียูที่เป็นตลาดคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2562 กำหนดการเก็บคาร์บอนจากภาคอุตสาหกรรมและการบิน และอียูยังมีแผนจะเก็บภาษี  CBAM  หรือมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรปซึ่งเป็นการกำหนดราคาสินค้านำเข้าบางประเภทเพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเข้ามาใน EU ในสินค้า 5 กลุ่มแรก ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการรั่วไหลของคาร์บอนสูง ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า ซีเมนต์ กระแสไฟฟ้า ปุ๋ย และอะลูมิเนียม ทำให้ราคาคาร์บอนเครดิตตลาดนี้ มีมูลค่าที่ค่อนข้างสูงเฉลี่ยที่ 2,769 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

ขณะที่ฝั่งสหรัฐ เริ่มการซื้อขายช่วงปี 2555 มีราคาซื้อขายเฉลี่ยที่ 1,059 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ส่วนจีน เริ่มซื้อขายไม่นานแต่ก็มีธุรกิจร่วมในภาคสมัครใจกว่า 2,200 แห่ง มีราคาเฉลี่ยที่ 272 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 

ในส่วนของประเทศไทย ราคาคาร์บอนเครดิตเฉลี่ย มีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่องโดย

*ปี 2560 อยู่ที่ 30.06 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 

*ปี 2561 อยู่ที่ 21.37 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 

*ปี 2562 อยู่ที่ 24.71 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 

*ปี 2563 อยู่ที่  25.76 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 

*ปี 2564 อยู่ที่ 34.34 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 

*ปี 2565 อยู่ที่ 107.23 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

สอดคล้องกับข้อมูลศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS โดย พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า การมีตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต และใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ประเทศและภาคธุรกิจมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) และเป้าหมายการใช้พลังงานสะอาด อีกทั้งเป็นแต้มต่อในการดึงดูดลูกค้า และนักลงทุนที่ให้ความสำคัญด้าน ESG  [Environment, Social, Governance] 

ตลอดจนเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับผู้พัฒนาโครงการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขายคาร์บอนเครดิต และผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากการขาย REC และยังเป็นโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง และพัฒนานวัตกรรมในการซื้อขาย

 “หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ประเทศไทยจำเป็นต้องส่งเสริมเครื่องมือเหล่านี้คือ ความตื่นตัวของบริษัทชั้นนำของโลกที่ตั้งเป้าหมาย Net zero emission รวมถึงเป้าหมายการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 100% (RE100) ดังจะเห็นได้จากมีบริษัทที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่ม RE100 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากปี 2562 ที่มีเพียง 261 ราย ขยับสูงเป็น 378 รายในปัจจุบัน หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 13% โดยพบว่าเป็นบริษัทข้ามชาติที่ดำเนินธุรกิจในไทยไม่ต่ำกว่า 50 บริษัท ซึ่งจะทำให้มีความต้องการ REC ในไทยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย”

ณัฐพร ศรีทอง นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า ตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตของโลกจะเติบโตสูงถึง 15 เท่าตัวในช่วง 10 ปีข้างหน้า และ 100 เท่าตัวเมื่อมองไปถึงปี 2593 โดยตลาดมี 2 รูปแบบ 

คือ 1) ภาคบังคับ หรือรู้จักในชื่อ “Emission Trading Scheme (ETS)” 2) ภาคสมัครใจ โดยผู้ประกอบการที่ต้องการลดก๊าซเรือนกระจกจะซื้อคาร์บอนเครดิตทดแทนการลดก๊าซเรือนกระจกด้วยตัวเอง ส่วนผู้ขายจะเป็นองค์กรอื่นที่ดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกได้ตามมาตรฐาน เช่น Verified Carbon Standard (VCS/VERRA) และ Gold Standard ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลก หรือมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction: T-VER) 

ทั้งนี้ ราคาคาร์บอนเครดิตในแต่ละตลาดหรือแต่ละมาตรฐานจะมีความแตกต่างกัน ปัจจุบันราคาคาร์บอนเครดิตโลกอยู่ที่ประมาณ 25 ดอลลาร์ต่อตันคาร์บอนฯ ขณะที่ราคาคาร์บอนเครดิตไทยเฉลี่ยล่าสุดปี 2565 อยู่ที่ 107 บาท หรือประมาณ 3 ดอลลาร์ต่อตันคาร์บอนฯ

​ขณะที่ ชัยสิทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวเสริมว่า การซื้อขายใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (REC) เป็นเครื่องมือหนึ่งที่เติบโตควบคู่กับการซื้อขายคาร์บอนเครดิต โดยผู้ขาย คือ ผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนประเภทต่างๆ อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานชีวมวล ที่ได้การรับรองมาตรฐาน ส่วนผู้ซื้อสามารถอ้างสิทธิในการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน จึงเป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการกลุ่ม RE100 บรรลุเป้าหมายการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งในรอบปีที่ผ่านมาพบว่า การซื้อขาย REC ในระดับโลกเติบโตอย่างก้าวกระโดด เช่น ใบรับรองภายใต้มาตรฐานของ The International REC Standard (I-REC) ที่นิยมใช้กันมากกว่า 30 ประเทศทั่วโลก รวมถึงไทย มีการอ้างสิทธิเพิ่มขึ้นถึง 103% สำหรับในไทยเติบโตสูงถึง 135% และคาดว่าจะขยายตัวได้อีกมากในอนาคต

 “ผู้ประกอบการควรเตรียมพร้อม และศึกษาทำความเข้าใจการซื้อขายคาร์บอนเครดิต และ REC ไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะผู้ที่ส่งออกสินค้าไปยัง EU และสหรัฐ ที่มีแนวโน้มจะใช้มาตรการเก็บภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) และมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น ตลอดจนผู้ประกอบการที่ต้องการนำผลการดำเนินงานเหล่านี้ไปแสดงในรายงานความยั่งยืน เช่น One Report และประกอบการรับประเมินดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ขณะที่ภาครัฐควรสนับสนุนโครงการที่นำไปสู่คาร์บอนเครดิตที่มีคุณภาพสูง เป็นมาตรฐานสากล เนื่องจากโครงการแต่ละประเภทจะได้รับการยอมรับต่างกันหรือคาร์บอนเครดิตที่ได้ก็จะมีมูลค่าไม่เท่ากัน รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาแพลตฟอร์มในการซื้อขาย เช่น การนำเทคโนโลยี Blockchain มาประยุกต์ใช้ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างครบถ้วน”

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์