ภาคเศรษฐกิจจริง-ภาคการเงิน    ผนึกกำลังสู่อนาคตสีเขียว

สวัสดีครับ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราจะเห็นบทบาทของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการเงิน และนักลงทุน ในการขับเคลื่อนแนวทางเพื่อความยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจในมิติต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น

หลังได้รับบทเรียนจากการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาและปัญหาด้านสภาพแวดล้อมอันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อนที่ยังมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง

อย่างที่ทราบกันดีว่าเศรษฐกิจไทยอาจเติบโตได้ไม่เต็มศักยภาพนัก หากขาดหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนหลัก นั่นคือการลงทุนจากต่างประเทศ ที่ผ่านมาภาครัฐได้เร่งสร้างแรงจูงใจใหม่ๆ เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่น่ายินดีว่าในระยะหลังมานี้ แรงจูงใจเหล่านั้นได้เพิ่มน้ำหนักไปที่การลงทุนด้านความยั่งยืนมากขึ้น หนึ่งในแผนงานของภาครัฐ คือ “Better and Green Thailand 2030” ที่ตั้งเป้าสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้น 1.7 ล้านล้านบาท เพิ่มการลงทุนภาคเอกชนอย่างน้อย 2 ล้านล้านบาท คิดเป็นจำนวนรวมที่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้มากกว่า 13% ซึ่งรวมถึงการลงทุนด้านแบตเตอรี่และสถานีอัดประจุไฟฟ้าเพื่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) การจูงใจชาวต่างชาติศักยภาพสูงเข้ามาอาศัยในประเทศไทย แผนการพัฒนาดิจิทัล และความร่วมมือกับต่างประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และ ซาอุดีอาระเบีย ในด้านพลังงานสะอาด

นอกจากนี้ โครงการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนยังได้รับการสนับสนุนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG หรือ การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio - Circular - Green Economy) ที่กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ  นับตั้งแต่ปี 2560 โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนกว่า 1,169 แห่งได้รับการสนับสนุนจากมาตรการของ BOI คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 6 พันล้านดอลลาร์ โดยคาดการณ์ว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้าอุตสาหกรรม BCG ของไทยจะมีมูลค่าถึง 25% ของ GDP

แม้ข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างการลงทุนบางส่วนภายใต้กรอบแนวทางการพัฒนาความยั่งยืนของประเทศไทย แต่ได้ฉายภาพให้เห็นว่าภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) กำลังจะก้าวไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างชัดเจน จึงสอดรับเป็นอย่างดีกับทิศทางของภาคการเงินไทย (Financial Sector) ซึ่งถือได้ว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่จะขาดไม่ได้ของระบบเศรษฐกิจ โดยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา สมาคมธนาคารไทยเห็นชอบร่วมกันที่จะยกระดับการดำเนินการเพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้แก่ภาคการเงินในระยะต่อไปด้วยการประกาศเจตนารมณ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG Declaration) อันจะเป็นแนวทางร่วมกันเพื่อผลักดันให้ภาคการธนาคารเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน

การประกาศเจตนารมณ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลดังกล่าว เป็นก้าวย่างที่สำคัญเพื่อกำหนดทิศทางที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมการธนาคารตามกรอบการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลในเชิงรุก พร้อมขับเคลื่อนสร้างการตระหนักรู้ด้านความยั่งยืนของผู้มีส่วนได้เสีย ครอบคลุมการดำเนินงานด้านที่สำคัญของภาคการธนาคาร ได้แก่ ธรรมาภิบาล ยุทธศาสตร์ การบริหารความเสี่ยง ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน การสื่อสารต่อผู้มีส่วนได้เสีย และการเปิดเผยข้อมูลทางการเงิน

เราจะเห็นได้ว่าผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและปัญหาด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมได้กลายเป็นวาระเร่งด่วนของทุกฝ่ายที่ต้องเร่งหาแนวทางตอบสนองต่อปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน แนวปฎิบัติและกลยุทธ์ที่ได้รับการกำหนดภายใต้นโยบายเชิงรุกควบคู่กันไปทั้งภาคเศรษฐกิจจริง และภาคการเงิน จะช่วยให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีมาตรการและนโยบายด้านความยั่งยืนที่ชัดเจนที่สุดแห่งหนึ่ง พร้อมผลักดันเศรษฐกิจองค์รวมสู่หมุดหมายแห่งความยั่งยืนโดยแท้จริงครับ

ภาคเศรษฐกิจจริง-ภาคการเงิน    ผนึกกำลังสู่อนาคตสีเขียว