ยุบสภาฯ แช่แข็ง 3 นโยบายคลัง อดไปต่อ คนละครึ่งพลัส-บัตรคนจน-TISA

จับตา 3 นโยบายคลัง อยู่ระหว่างเสนอเข้า ครม. ลุ้นจะได้ไปต่อหรือไม่หลังยุบสภาฯ ทั้งคนละครึ่งพลัส เฟส 2 ลงทะเบียนบัตรคนจน และบัญชีออมแบบใหม่ TISA
ภายหลังจากการประกาศยุบสภา มีผลตั้งแต่ 12 ธ.ค.2568 ซึ่งในระหว่างนี้คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันจะยังคงดำรงตำแหน่งคณะรัฐมนตรีรักษาการ จนกว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งสมาชิกภายใน 45 วัน ไม่เกิน 60 วัน ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะเป็นวันที่ 8 ก.พ.2569
โดยในระหว่างนี้โครงการที่กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างผลักดันคาดว่าจะต้องชะลอไปก่อน โดยเฉพาะโครงการที่ยังไม่ผ่านการอนุมัติในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยจะต้องรอติดตามว่ารัฐบาลรักษาการว่าจะเดินหน้านโยบายต่อไปอย่างไร
นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า โครงการพันธบัตรออมพลัส เป็นหนึ่งในโครงการที่สามารถดำเนินการต่อไปได้ เนื่องจากเป็นไปตามแผนบริหารหนี้สาธารณะปีงบประมาณ 2569 ที่มีการอนุมัติไปแล้วในประชุม ครม.
ทั้งนี้ สบน.ได้พัฒนาพันธบัตรรูปแบบใหม่ จากเดิมที่เปิดขายเป็นรอบมาเป็นการเปิดขายทุกเดือน ตั้งแต่ม.ค.-ธ.ค.2569 โดยตั้งวงเงินไว้อย่างน้อยเดือนละ 1,000 ล้านบาท เพื่อให้ประชาชนออมได้สม่ำเสมอ ผ่านช่องทางหลากหลาย รวมถึงระบบ Bond Connect ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา
โดยพันธบัตรออมพลัส จะขายขั้นต่ำเริ่มต้น 1,000 บาท และไม่มีขั้นสูง จัดสรรแบบ Small Lot First ให้ผู้จองซื้อทุกรายมีสิทธิได้รับพันธบัตร ส่วนอัตราดอกเบี้ย และเงื่อนไขจะมีการประกาศรายละเอียดอีกครั้งในช่วงเดือนม.ค.2569
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สำหรับนโยบายที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ และเตรียมเสนอเข้าที่ประชุม ครม. ประกอบด้วย
1.การเปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่(บัตรคนจน) ซึ่งเดิมตั้งเป้าหมายว่าจะเปิดลงทะเบียนในช่วงต้นปี 2569 นั้น จะต้องเลื่อนออกไปก่อน
สำหรับผู้มีสิทธิได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรายเดิมนั้น เบื้องต้นจะต้องสอบถามกรมบัญชีกลางว่ามีการตั้งงบประมาณไว้รองรับสำหรับปีงบประมาณ 2569 ครบถ้วนหรือไม่ หากไม่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้ กระทรวงการคลังสามารถขอเสนองบประมาณจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อไม่ทำให้ผู้ใช้บัตรสวัสดิการฯ ได้รับผลกระทบ
"ตามกฎหมาย การทำงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังคงอยู่ บริหารสั่งงานได้เหมือนเดิม แค่การบริหารบางอย่างมีข้อจำกัด ตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 169 ซึ่งเร็วๆ นี้ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะส่งหนังสือเวียนมาถึงส่วนราชการว่าสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้าง"
2.โครงการ คนละครึ่งพลัส เฟส 2 ที่เดิมมีกำหนดเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ในเดือน ธ.ค.2568 และเริ่มใช้จ่ายในเดือนม.ค.2569 ต้องยุติไป เพราะเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ไม่ทัน ทั้งนี้เว้นแต่จะได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
3.โครงการบัญชีการออม และการลงทุนส่วนบุคคล หรือ TISA ที่เข้าสู่การพิจารณาของครม. เศรษฐกิจไปเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2568 และเตรียมเสนอ ครม. ในเดือนธ.ค.2569 ในหลักการแล้วไม่สามารถดำเนินการต่อได้เช่นกันเนื่องจากเป็นโครงการที่ยังไม่ผ่านการพิจารณาของ ครม. ก่อนประกาศยุบสภาฯ
ทั้งนี้ ทันทีที่พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรมีผลบังคับใช้ คณะรัฐมนตรีชุดเดิมจะพ้นจากตำแหน่งทันที อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญมาตรา 167 กำหนดให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่
ดังนั้น สถานะทางกฎหมายจะยังเป็นรัฐบาลรักษาการ ซึ่งมีหน้าที่หลักคือ ประคับประคองการบริหารราชการแผ่นดินให้ดำเนินไปตามปกติ และจัดการเลือกตั้งให้เรียบร้อย โดยมีอำนาจจำกัดกว่ารัฐบาลปกติ
อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 169 วางกรอบ และข้อห้ามการทำงานรัฐบาลรักษาการไว้ 5 ข้อสำคัญ เพื่อป้องกันการได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง และการสร้างภาระให้รัฐบาลหน้า ได้แก่
1.ห้ามอนุมัติโครงการที่ผูกพันคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
2.ห้ามเซ็นสัญญาโครงการใหญ่ๆ หรือก่อหนี้ระยะยาว
3.ห้ามแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงปลัดฯ, อธิบดี หรือให้ใครพ้นจากตำแหน่ง เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
4.ห้ามใช้งบกลางสำรองจ่ายฉุกเฉิน เว้นแต่จำเป็นเร่งด่วน และต้องขออนุมัติ กกต. ก่อน
5.ห้ามใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อหาเสียง โดยห้ามใช้กลไกราชการมาช่วยในการเลือกตั้ง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







