ผ่าแผนซื้อคืนรถไฟฟ้า 1.6 แสนล้าน เฟสแรก 4 สาย ยึดโมเดลจ้างเดินรถ 30 ปี

ผ่าแผนซื้อคืนรถไฟฟ้า 1.6 แสนล้าน เฟสแรก 4 สาย ยึดโมเดลจ้างเดินรถ 30 ปี

“คมนาคม” ชง ครม. 16 ธ.ค.นี้ เคาะโมเดล “Single Ownership” รวบสัมปทานรถไฟฟ้า 4 สายจาก BTS – BEM มาบริหารเอง รฟม.ทยอยหารือเอกชน เผยปรับสัญญาเป็น PPP Gross Cost รัฐรับความเสี่ยงด้านรายได้จากค่าโดยสาร จ้างเอกชนเดินรถและซ่อมบำรุง “พิพัฒน์” เสนอ 2 โมเดล ตั้งกองทุนหรือเจรจาสัมปทานใหม่ คาดใช้เงินซื้อคืนสัมปทาน 1.6 แสนล้านบาท

KEY

POINTS

  • รัฐบาลเตรียมเสนอแผนซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าเฟสแรก 4 สาย สีเขียว, น้ำเงิน, ชมพู, เหลือง มูลค่าประมาณ 1.6 แสนล้านบาท เพื่อให้ รฟม. เป็นเจ้าของเพียงรายเดียว
  • หลังการซื้อคืนจะเปลี่ยนรูปแบบสัญญาเป็นการจ้างเอกชนเดินรถและซ่อมบำรุงเป็นระยะเวลา 30 ปี โดยรัฐจะเป็นผู้รับความเสี่ยงด้านรายได้เอง
  • เป้าหมายหลักของแผนนี้คือการควบคุมค่าโดยสารให้ถูกลง และผลักดันให้เกิดระบบตั๋วร่วมที่สมบูรณ์โดยยกเว้นค่าแรกเข้าระหว่างสาย

รัฐบาลเดินหน้าโครงการดูแลค่ารถไฟฟ้า 40 บาทตลอดวัน โดยจะใช้แนวทางการซื้อคืนสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าจากภาคเอกชน เพื่อให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เป็นเจ้าของเดียว (Single Ownership) ซึ่งเดิมมีกำหนดเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 9 ธ.ค.2568 แต่ได้เลื่อนการเสนอออกไป

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมจะเสนอ ครม.พิจารณาหลักการซื้อคืนสัญญาสัมปทานในวันที่ 16 ธ.ค.2568 โดยในระยะที่ 1 มีเป้าหมายการซื้อคืนสัญญาสัมปทานรวม 4 สาย ซึ่งมีรูปแบบสัญญาสัมปทาน PPP Net Cost ที่เอกชนได้รับสิทธิในการลงทุน ระบบเดินรถ และให้บริการเดินรถ พร้อมทั้งเป็นผู้จัดเก็บรายได้ ประกอบด้วย

1.รถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสุขุมวิท (สีเขียวอ่อน) หมอชิต-อ่อนนุช และสายสีลม (สีเขียวเข้ม) สนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน โดยกรุงเทพมหานคร (กทม.) ทำสัญญาสัมปทานกับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด หรือ BTSC ครอบคลุมสัมปทานหลัก ช่วงหมอชิต-อ่อนนุช และช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ - สะพานตากสิน สิ้นสุดในปี 2572

นอกจากนี้ มีสัญญาจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุงระบบรถไฟฟ้า สิ้นสุดสัญญาในปี 2585 ครอบคลุมส่วนหลัก หมอชิต-อ่อนนุช และสนามกีฬา-สะพานตากสิน

รวมทั้งส่วนต่อขยายที่ 1 สะพานตากสิน-บางหว้า และอ่อนนุช-แบริ่ง รวมถึงส่วนต่อขยายที่ 2 หมอชิต-คูคต และส่วนต่อขยายที่ 2 แบริ่ง-สมุทรปราการ

2.รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีหัวลำโพง-สถานีบางซื่อ และส่วนต่อขยายสถานีหัวลำโพง-หลักสอง โดย รฟม.ทำสัญญากับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ครอบคลุมสัมปทานบริการเดินรถ จัดเก็บรายได้ค่าโดยสาร และการพัฒนาเชิงพาณิชย์ สิ้นสุดในปี 2592

ทั้งนี้ ตามสัญญาสายสีน้ำเงินกำหนดให้ BEM มีภาระผูกพันต้องจ่ายเงินค่าตอบแทนจากค่าโดยสาร และจากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ให้แก่ รฟม. ตามอัตราที่ระบุในสัญญาสัมปทาน โดยจะหมดระยะเวลาสัมปทานในปี 2593

3.รถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีแคราย-มีนบุรี โดย รฟม.ทำสัญญากับบริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโลเรล จำกัด (NBM) เป็นสัมปทานรูปแบบ PPP Net Cost เอกชนลงทุนก่อสร้างงานโยธา งานระบบและจัดหาขบวนรถ รวมถึงงานเดินรถ และบำรุงรักษา 30 ปี นับจากเปิดให้บริการ โดยรัฐจ่ายเงินสนับสนุนแก่เอกชนเป็นเงินสนับสนุนค่างานโยธา ระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี โดยจะหมดระยะเวลาสัมปทานปี 2596

4.รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีลาดพร้าว-สำโรง โดย รฟม.ทำสัญญากับบริษัท อีสเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (EBM) เป็นสัมปทานรูปแบบ PPP Net Cost เอกชนลงทุนก่อสร้างงานโยธา งานระบบและจัดหาขบวนรถ รวมถึงงานเดินรถ และบำรุงรักษา 30 ปีนับจากเปิดให้บริการ โดยรัฐจ่ายเงินสนับสนุนแก่เอกชนเป็นเงินสนับสนุนค่างานโยธา ระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี หมดระยะเวลาสัมปทานปี 2596

 

รฟม.รับบทบาท Single Ownership

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ก่อนหน้าที่จะเสนอ ครม.สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เลื่อนวาระดังกล่าว เนื่องจากยังมีประเด็นทางเทคนิคและข้อเสนอแนะที่ต้องปรับแก้ให้เรียบร้อย โดยกระทรวงคมนาคมคำนึงถึงหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ คือ การลดค่าครองชีพประชาชน พร้อมหาโมเดลทางการเงินที่ไม่กระทบต่อหนี้สาธารณะของประเทศ

ทั้งนี้ หาก ครม.อนุมัติหลักการให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการบริหารรถไฟฟ้ารูปแบบ Single Ownership จะเป็นหน้าที่ รฟม.จะปรับรูปแบบการบริหารรถไฟฟ้าทั้งหมดให้เป็น PPP Gross Cost โดยรัฐรับความเสี่ยงด้านรายได้จากค่าโดยสารทั้งหมด รวมถึงการว่าจ้างเอกชนเป็นผู้เดินรถและซ่อมบำรุง

"การทำรถไฟฟ้าเป็น Single Ownership จะแก้ปัญหาค่าโดยสารแพงและการเชื่อมต่อระบบตั๋วร่วม เพราะเมื่อกรรมสิทธิโครงข่ายรถไฟฟ้าทั้งหมดมาอยู่ที่ รฟม.จะบริหารค่าโดยสารได้เป็นโครงข่ายเดียวนำไปสู่การใช้ระบบตั๋วร่วมหรือ Common Ticket และเว้นค่าแรกเข้า" นายพิพัฒน์ กล่าว

ดังนั้นจะต้องเปลี่ยนรูปแบบจากการให้สัมปทานแบบเดิม มาเป็นการที่รัฐเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานและจ้างเอกชนเดินรถ ซึ่งจะทำให้รัฐสามารถกำหนดนโยบายค่าโดยสารและตั๋วร่วมได้อย่างอิสระ

ทั้งนี้ หากจะดำเนินการโอนสิทธิการบริหารรถไฟฟ้าที่มีสัมปทานกับเอกชนกลับมาเป็นของ รฟม.จำเป็นต้องมีการเจรจาเพื่อซื้อคืนสัมปทานจากเอกชน โดยแนวทางการซื้อคืนและมูลค่าการซื้อคืนนั้น กระทรวงคมนาคมจะหารือกับกระทรวงการคลังให้เป็นผู้พิจารณาความเหมาะสม แต่เบื้องต้นได้มีการหารือกับเอกชนผู้รับสัมปทานแล้ว ไม่ได้ขัดข้องต่อแนวคิดดังกล่าว

แหล่งเงิน 2 แนวทางซื้อคืนรถไฟฟ้า

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า การจะโอนรถไฟฟ้ากลับมาเป็นของรัฐดำเนินการได้เมื่อ ครม.เห็นชอบในหลักการแล้ว โดยขั้นตอนต่อไปก็จะต้องเจรจากับเอกชน เพื่อทำข้อตกลงในการซื้อคืนรถไฟฟ้า ส่วนรูปแบบของการหาแหล่งเงินมาซื้อคืนนั้นจะเป็นอย่างไร เป็นส่วนของกระทรวงการคลังจะพิจารณา โดยเบื้องต้นกระทรวงคมนาคมศึกษาไว้ 2 แนวทาง คือ

1.การจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน คล้ายกับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) เพื่อระดมเงินมาใช้สำหรับการซื้อคืนรถไฟฟ้า

2.เปิดสัมปทานระยะยาวแก่เอกชน เช่น สัญญา 30 ปี โดยให้เอกชนนำสัมปทานใหม่นั้นไปค้ำประกันในการกู้เงินจากสถาบันการเงิน โดยโมเดลนี้รัฐไม่ต้องกู้เงินหรือค้ำประกันเอง ก็จะไม่กระทบต่อเพดานหนี้สาธารณะของประเทศ แต่รัฐจะทำสัญญาเพื่อทยอยจ่ายค่าซื้อคืนสัมปทานให้เอกชนในภายหลัง รวมทั้งจะจ่ายค่าจ้างงานเดินรถตามสัญญากำหนด

คาดใช้เงินซื้อคืน 4 สาย 1.6 แสนล้านบาท

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมประเมินเบื้องต้นจากการจัดซื้อรถไฟฟ้าทั้ง 4 โครงการที่ปัจจุบันเป็นสัญญาสัมปทานแบบ PPP Net Cost คาดว่าจะมีมูลค่าการซื้อคืนมากถึง 1.6 แสนล้านบาท เนื่องจากรถไฟฟ้าบางโครงการเพิ่งเริ่มเปิดให้บริการ และยังมีสัญญาสัมปทานหลายปี 

ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมได้ศึกษาและยืนยันว่าจะไม่กระทบต่อหนี้สาธารณะ เนื่องจากรัฐบาลมีแนวทางเจรจากับเอกชนผู้รับสัมปทาน ไม่จำเป็นต้องเตรียมเงินเพื่อนำมาซื้อคืน ซึ่งอาจเป็นรูปแบบการเจรจาทำสัญญาใหม่ และรัฐจะทยอยจ่ายค่าซื้อคืน โดยเอกชนยังมีรายได้จากค่าจ้างเดินรถ

รฟม.ทยอยเจรจา “BTS-BEM” ซื้อคืน

รวมทั้งขณะนี้กระทรวงคมนาคม ได้หารือกับเอกชนผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้า คือ กลุ่มบีทีเอส ผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีเหลือง และสายสีชมพู รวมไปถึงบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน

โดยเอกชนทั้งสองกลุ่มไม่ขัดข้องในนโยบาย Single Ownership เพียงแต่ต้องมีการเจรจาเพื่อไม่ให้กระทบต่อการดำเนินงาน และเกิดการเสียประโยชน์ เนื่องจากปัจจุบันเอกชนยังคงมีสัญญาสัมปทานที่มีสิทธิในการจัดเก็บรายได้ ดังนั้นอาจจะมีการเจรจาให้เอกชนที่มีสิทธิในสัญญาเดินรถ ให้ยังคงได้รับสิทธิจ้างเดินรถตามเดิม

คาดสัญญาโมเดลสัมปทานใหม่ 30 ปี

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า หากมีการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้า เบื้องต้นภาครัฐมีการศึกษาโมเดลการทำสัญญาใหม่กับเอกชน ซึ่งคาดว่าจะมีสัมปทาน 30 ปี โดยในช่วงแรกที่ผลการดำเนินงานยังขาดทุน ก็จะเจรจากับเอกชนในการเว้นจ่ายค่าซื้อคืนสัมปทาน

รวมไปถึงค่าจ้างเดินรถ แต่ท้ายที่สุดภาครัฐจะทยอยจ่ายให้หมดภายใน 20 - 30 ปี ซึ่งหลังจากนั้นทุกโครงการรถไฟฟ้าในไทยก็จะหมดสัมปทานลง เริ่มกระบวนการประมูลจัดหาผู้เดินรถใหม่ ซึ่งอาจทำให้ไทยจะมีผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้าเพียงรายเดียว