ความสัมพันธ์ไทยจีนภายใต้บริบทภูมิรัฐศาสตร์ใหม่

ปี 2568 เป็นวาระสำคัญทางประวัติศาสตร์ เมื่อไทยและจีนร่วมฉลองการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตครบ 50 ปี ในวาระสำคัญนี้ การกำหนดกรอบวิสัยทัศน์สำหรับ 50 ปีข้างหน้า เป็นสิ่งจำเป็น
เพื่อให้ความสัมพันธ์ไทย - จีนสามารถดำเนินไปอย่างมีเสถียรภาพและสอดคล้องกับบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ผมมีข้อเสนอ 6 ประเด็น เชิงนโยบายต่อไทยในการวางนโยบายความสัมพันธ์กับจีนในยุคต่อไป
1.ไทยต้องรักษาสมดุลให้ได้ระหว่างมหาอำนาจทั้งจีนและสหรัฐ
บริบทภูมิรัฐศาสตร์ร่วมสมัยสะท้อนการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน ทั้งด้านอิทธิพลทางเศรษฐกิจ การทหาร เทคโนโลยี และการทูต ความท้าทายสำคัญคือ การกำหนดท่าทีของไทยว่าจะรักษาความสัมพันธ์กับจีนอย่างไรโดยไม่ถูกกดดันจากสหรัฐ และไม่ถูกบีบให้ “เลือกข้าง”
ในบริบทที่มหาอำนาจทั้งสองต่างพยายามขยายอำนาจต่อรองในภูมิภาค การรักษาสมดุลเชิงยุทธศาสตร์ (strategic equilibrium) จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญเพื่อรักษาผลประโยชน์ของไทยในระยะยาว
2.การจัดการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงด้านนักท่องเที่ยว การลงทุน และสินค้าจีน
ไทยจะรับมือกับการลดลงอย่างต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวจีนจากหลายปัจจัยทั้งด้านเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่น และบริบทภายในจีนได้อย่างไร ในขณะเดียวกัน คลื่นการลงทุนของทุนจีนและคลื่นการทะลักของสินค้าจีนก็เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายใหม่ต่อไทย
การออกมาที่เพิ่มขึ้นของทุนจีน มีทั้งการมาของทุนจีนสีขาวที่มีเทคโนโลยีก้าวล้ำ ขณะเดียวกัน ก็มีความกังวลเกี่ยวกับประเด็นทุนจีนสีเทา ทุนจีนกินรวบ หรือทุนจีนที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเช่นกัน
3.กลไกการสื่อสารเชิงโครงสร้างและการทูตเชิงป้องกัน
การสื่อสารความกังวลระหว่างกันต้องมีกลไกระดับสูงระหว่างผู้นำ ตัวอย่างเช่น กลไกการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน (Joint Committee on Trade, Investment and Economic Cooperation) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจทั้งสองฝ่ายนั่งหัวโต๊ะ ควรจัดเป็นประจำต่อเนื่องและนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมทั้งสองฝ่าย
4.การเจรจาการค้าและความเท่าเทียมของโอกาสทางเศรษฐกิจ
การเจรจาการค้ากับจีนย่อมมีความสำคัญ ปัจจุบันมีข้อกังวลว่าสินค้าจากจีนทะลักเข้ามาในตลาดแพลตฟอร์มออนไลน์ของไทย แต่คำถามคือ สินค้าไทยบุกตลาดแพลตฟอร์มออนไลน์ของจีนได้มากน้อยเพียงใด เราควรมากางดูอุปสรรคกันเป็นข้อๆ
และก็ต้องเปิดการเจรจากับฝั่งจีนให้การค้าทั้งสองฝ่ายเกิดความเท่าเทียม ด้วยจุดหมายเพื่อให้ความสัมพันธ์ทางการค้าเป็นไปอย่างยั่งยืน ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์กับจีนด้วยที่จะหลีกเลี่ยงกระแสการต่อต้านหรือกีดกันสินค้าจีนในไทย
5.ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม
อีกบริบทหนึ่งที่เป็นโอกาสใหม่และแตกต่างจาก 50 ปีที่ผ่านมา คือ การก้าวขึ้นเป็นผู้นำเทคโนโลยีของจีน และในช่วง 50 ปี ต่อจากนี้ จะเป็นยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ทั้งในด้านพลังงานสะอาด ปัญญาประดิษฐ์ ไบโอเทค ดังนั้น ความร่วมมือและการทูตวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีระหว่างไทยจีนจะกลายมาเป็นมิติที่สำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนกรุงปักกิ่งอย่างเป็นทางการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีฯ ระหว่างวันที่ 13-17 พฤศจิกายน 2568 ตามคำทูลเชิญของนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมชมความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีนหลายแห่ง
ได้แก่ ศูนย์นวัตกรรมหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ กรุงปักกิ่ง ศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีและทรัพยากรด้านการศึกษา สถาบันเทคโนโลยีด้านอวกาศจีน ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมวิทยาศาสตร์นักบินจีน และศูนย์ควบคุมการบินอวกาศกรุงปักกิ่ง นับว่าทรงเป็นผู้นำในการปูทางเสริมสร้างความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างไทยและจีนในระดับที่สูงขึ้นต่อไป
6.การทูตเชิงรุกร่วมกับจีนในเวทีพหุภาคีและอนุภูมิภาค
จีนกับไทยต้องมองการทูตเชิงรุกที่ไปมากกว่าความสัมพันธ์ทวิภาคี แต่ต้องตั้งคำถามร่วมกันว่าในบริบทโลกใหม่ที่ผันผวน จีนและไทยจะมีบทบาทเชิงรุกร่วมกันอย่างไรในการขับเคลื่อนการทูตกลุ่มใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ความร่วมมือระหว่างเอเชียและยุโรป ความร่วมมือระหว่างจีนและอาเซียน
ความร่วมมือระหว่างเอเชียด้วยกันเอง ความร่วมมือกรอบอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ตลอดจนความร่วมมือระหว่างกันในกลุ่มประเทศขั้วใต้ (Global South)
ทั้งหมดนี้เพื่อขยายโอกาสตลาดใหม่และหุ้นส่วนใหม่ ท่ามกลางบริบทตลาดโลกที่หดตัวลงจากการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ของมหาอำนาจเดี่ยวแต่เดิมอย่างสหรัฐ







