BOI เคาะลงทุนใหม่ส่งท้ายปีกว่า 2.4 แสนล้าน เลือก 16 โครงการใหญ่เข้า FastPass

BOI เคาะลงทุนใหม่ส่งท้ายปีกว่า 2.4 แสนล้าน เลือก 16 โครงการใหญ่เข้า FastPass

"บีโอไอ" เคาะลงทุนใหม่ส่งท้ายปีกว่า 2.4 แสนล้านบาท เลือก 16 โครงการใหญ่ ครอบคลุมดาต้าเซ็นเตอร์ พลังงานสะอาด นิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ และการขนถ่ายสินค้าทางเรือ ยกระดับอุตสาหกรรมเหล็ก

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ซึ่งมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน ได้อนุมัติโครงการลงทุน จำนวน 15 โครงการ มูลค่ากว่า 2.4 แสนล้านบาท ครอบคลุมอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ พลังงานสะอาด นิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ และการขนถ่ายสินค้าทางเรือ พร้อมปรับปรุงการส่งเสริมอุตสาหกรรมเหล็กคุณภาพสูง โดยใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประเดิมคัดเลือก 16 โครงการลงทุนขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายเข้าระบบ Thailand FastPass เพื่อเร่งรัด ปลดล็อกอุปสรรค และอำนวยความสะดวกให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย เพื่อก้าวสู่ปีแห่งการลงทุน 2569 ตามแผนของรัฐบาล

อนุมัติ 15 โครงการ ลงทุนกว่า 2.4 แสนล้านบาท

บอร์ดบีโอไอได้อนุมัติโครงการลงทุนขนาดใหญ่ จำนวน 15 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 2.4 แสนล้านบาท ประกอบด้วย

- กิจการดาต้าเซ็นเตอร์ 11 โครงการ รวมมูลค่า 184,740 ล้านบาท ได้แก่ บริษัท เคอเร้นท์ 19,773 ล้านบาท บริษัท เอสทีที จีดีซี 9,348 ล้านบาท บริษัท เคทู สแทรททิจิค อินฟราสตรัคเจอร์ 30,869 ล้านบาท บริษัท ไทย ดีซี วัน 22,110 ล้านบาท บริษัท เอสทีคลีนพลาเน็ต 20,635 ล้านบาท

BOI เคาะลงทุนใหม่ส่งท้ายปีกว่า 2.4 แสนล้าน เลือก 16 โครงการใหญ่เข้า FastPass

บริษัท ดาเรีย ดาต้า เซ็นเตอร์ แอนด์ คลาวด์ เซอร์วิสเซส 6,594 ล้านบาท บริษัท จีเอสเอ ดาต้า เซนเตอร์ 30,611 ล้านบาท บริษัท สมาร์ท เมกะวัตต์ 3,797 ล้านบาท บริษัท ทีดี ดาต้า อินเตอร์เนชั่นแนล 13,000 ล้านบาท บริษัท ตง หนาน ดาต้า 20,625 ล้านบาท และบริษัท ไพรม์ เมกะวัตต์ 7,378 ล้านบาท

- กิจการนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ ของบริษัท อารยะ แลนด์ ดีเวลลอปเม้นต์ จังหวัดสมุทรปราการ เงินลงทุน 3,464 ล้านบาท

- กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ขนาด 90 เมกะวัตต์ ของบริษัท บลู สกาย วินด์ พาวเวอร์ 31 จังหวัดอุบลราชธานี เงินลงทุน 5,635 ล้านบาท

- กิจการขนถ่ายสินค้าทางเรือ ของบริษัท ไทยแท้งค์เทอร์มินัล ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง เงินลงทุน 14,122 ล้านบาท

- กิจการผลิตโพแทสเซียมคลอไรด์ ของบริษัท เอเชีย แปซิฟิค โปแตซ คอร์ปอเรชั่น จังหวัดอุดรธานี เงินลงทุน 40,468 ล้านบาท

BOI เคาะลงทุนใหม่ส่งท้ายปีกว่า 2.4 แสนล้าน เลือก 16 โครงการใหญ่เข้า FastPass

คัด 16 โครงการเข้า Thailand FastPass

บอร์ดบีโอไอยังได้คัดเลือกโครงการที่ได้ยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนแล้ว เข้าสู่กลไก Thailand FastPass เป็นล็อตแรก จำนวน 16 โครงการ โดยเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีเงินลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาท อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และเป็นโครงการที่สร้างประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจ รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 1.7 แสนล้านบาท และจะก่อให้เกิดการจ้างงานคนไทยกว่า 7,000 คน ได้แก่

เทคโนโลยีชีวภาพ บริษัท บราสเคม สยาม, ชิ้นส่วนยานยนต์สมัยใหม่ บริษัท ไอซิน พาวเวอร์เทรน และเหอไซ่, ชิ้นส่วนอากาศยาน บริษัท สยามมิชลิน และแซม พรีซิชั่น, อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง บริษัท ฟาบริเนท, โกลด์ เซอร์คิท อีเลคโทรนิคส์ (2 โครงการ), เพ๊ง เชิน เทคโนโลยี(2 โครงการ), ลีเจ้นท์คอมม์, แอดวานซ์ อินเตอร์คอนเนคชั่น เทคโนโลยี และ พานาโซนิค แมนูแฟคเจอริ่ง,  ดาต้าเซ็นเตอร์ระดับ Hyperscale บริษัท ซีนิท ดาต้า เซ็นเตอร์ แอนด์ คลาวด์ เซอร์วิสเซส และตง หนาน ดาต้า, ศูนย์โลจิสติกส์อัจฉริยะ บริษัท ซัพพลาย เชน ซิตี้

BOI เคาะลงทุนใหม่ส่งท้ายปีกว่า 2.4 แสนล้าน เลือก 16 โครงการใหญ่เข้า FastPass

ทั้งนี้ บีโอไอกำหนดให้โครงการที่ได้รับบัตร Thailand FastPass ต้องมีการลงทุนจริงไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของมูลค่าการลงทุนรวม ภายใน 6 เดือนนับจากวันที่ได้รับบัตร เพื่อเร่งให้เกิดการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรมและสามารถวัดผลได้ชัดเจน และบอร์ดบีโอไอจะทยอยพิจารณาคัดเลือกโครงการเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุนจริง และสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงปี 2569–2570

คืบหน้าปลดล็อก ไฟฟ้า–ที่ดิน–วีซ่า

สำหรับการแก้ไขปัญหาด้านการลงทุน 3 ด้านหลัก ได้แก่ ไฟฟ้า การจัดหาพื้นที่สำหรับการลงทุน วีซ่าและใบอนุญาตทำงาน เพื่อปลดล็อกโครงการลงทุน 80 โครงการ มูลค่า 4.8 แสนล้านบาท บีโอไอได้เร่งดำเนินการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีความคืบหน้าดังนี้

ด้านไฟฟ้า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 มีมติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สามารถจำหน่ายไฟฟ้าโดยตรงให้แก่ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าตั้งแต่ 200 เมกะวัตต์ขึ้นไป โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการแก้ไขพระราชกฤษฎีกากำหนดผู้ใช้พลังงานไฟฟ้า นอกจากนี้ ในเรื่องพลังงานสะอาด สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเตรียมเสนอหลักเกณฑ์และโครงสร้างราคาการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าโดยตรง (Direct Power Purchase Agreement: Direct PPA) ต่อ กพช. ภายในเดือนธันวาคมนี้ สำหรับการบริการไฟฟ้าสีเขียว (Utility Green Tariff 2: UGT2) สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เตรียมประกาศอัตราค่าบริการ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป

ด้านการจัดหาพื้นที่สำหรับการลงทุน บีโอไอได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดการพิจารณาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและการจัดทำผังเมืองให้รองรับความต้องการลงทุนระลอกใหม่ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

1) การกำหนดแนวทางปรับปรุงผังเมืองเพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับนิคมอุตสาหกรรม จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2568 2) การจัดทำแนวทางปฏิบัติเพื่อเตรียมพื้นที่ก่อสร้างล่วงหน้าก่อนได้รับการอนุมัติรายงาน EIA คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม 2569 และ 3) การเร่งรัดแก้ไขปัญหาให้กับโครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอนุญาตเปลี่ยนแปลงสภาพที่ดินสาธารณะ จำนวน 27 โครงการ มีเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2569

ด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน บีโอไอได้จัดส่งรายชื่อนักลงทุนกลุ่มเป้าหมายให้กรมการกงสุลแล้ว

เพื่อเร่งรัดการออกวีซ่าเป็นกรณีพิเศษ และอยู่ระหว่างการเชื่อมโยงระบบ Single Window กับระบบ Thai e-Visa ให้สามารถส่งต่อข้อมูลโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 นอกจากนี้ ในส่วนการให้บริการที่ศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน (OSS) กรมการจัดหางานได้เพิ่มเจ้าหน้าที่แล้ว และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะดำเนินการเพิ่มอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ภายในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อที่จะสามารถให้บริการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

ยกระดับการส่งเสริมอุตสาหกรรมเหล็กไทย

ที่ประชุมฯ ได้ทบทวนการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเหล็ก เพื่อแก้ไขปัญหาภาวะล้นตลาดและอัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำของผู้ผลิตในประเทศ พร้อมปรับทิศทางการส่งเสริมไปสู่การผลิตเหล็กคุณภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมเหล็กสีเขียวตามแนวโน้มตลาดโลก โดยมีมาตรการสำคัญดังนี้ 

- งดส่งเสริมกลุ่มเหล็กขั้นกลางที่ไม่มีการผลิตต่อเนื่องจากเหล็กขั้นต้น กลุ่มเหล็กทรงแบนสำหรับ

- งานอุตสาหกรรมและงานก่อสร้าง เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กกลุ่มที่มีภาวะสินค้าล้นตลาด จนทำให้ผู้ผลิตเดิมจำเป็นต้องชะลอการผลิตอย่างมีนัยสำคัญ

- งดส่งเสริมการผลิตเหล็กถลุง เพื่อผลักดันให้มีการผลิตเหล็กคุณภาพสูง และมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

- ปรับเงื่อนไขการส่งเสริมกิจการเหล็ก 5 ประเภทในกลุ่มเหล็กขั้นกลางและขั้นปลาย โดยกำหนดให้ต้องใช้เตาหลอมไฟฟ้า หรือเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสนับสนุนกระบวนการผลิตที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก