กนอ. ผนึกพันธมิตร คิกออฟ 'ตรวจป(ล)อดภัย ด้วย AI' ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน

"กนอ." ผนึกพันธมิตร คิกออฟนำร่อง “ตรวจป(ล)อดภัย ด้วย AI” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยฐานรากสุขภาพแรงงานที่แข็งแกร่ง ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานสู่ความยั่งยืน
พลตำรวจโท อิทธิพร โพธิ์ทอง ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายสุชาติ ชมกลิ่น ) เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการส่งเสริมสุขภาพและสวัสดิภาพของบุคลากรในเขตนิคมอุตสาหกรรม ประเดิมกิจกรรมแรก “ตรวจป(ล)อดภัย ด้วยนวัตกรรม AI” ณ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี โดยระบุว่า การพัฒนาประเทศในยุคปัจจุบัน ต้องอาศัยการบูรณาการระหว่าง ‘อุตสาหกรรม สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม’ อย่างสมดุล สุขภาพของแรงงานในนิคมอุตสาหกรรม
ถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจที่มีความเชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อม การที่ภาครัฐและเอกชนร่วมกันนำเทคโนโลยี AI-assisted Chest X-ray มาใช้คัดกรองเชิงรุก จึงถือเป็นก้าวสำคัญในการเชื่อมโยงการจัดการสิ่งแวดล้อมกับการคุ้มครองสุขภาพแรงงานให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ. มุ่งมั่นขับเคลื่อนนิคมอุตสาหกรรมไทยสู่การเป็นพื้นที่เศรษฐกิจชั้นนำ ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต ตามแนวทางการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco-Industrial Town) ข้อมูลจากการตรวจคัดกรองด้วย AI ในครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘ความร่วมมือเชิงระบบ’ ที่ช่วยให้ กนอ. และหน่วยงานพันธมิตร มีฐานข้อมูลสุขภาพแรงงานเชิงประจักษ์ เพื่อนำไปสู่การกำหนดนโยบายและแนวทางการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่
โดย กนอ. ตั้งเป้าขยายผลการดำเนินงานสู่นิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ เพื่อสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับระบบสุขภาพแรงงานไทย ซึ่งจะช่วยยกระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อนิคมอุตสาหกรรมไทยในระยะยาว
นายสุเมธ กล่าวว่า เชื่อว่าโครงการนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของ กนอ. ยุคใหม่ ในการใช้เทคโนโลยีเพื่อเข้าถึงแรงงานและชุมชนรอบข้างนิคม การดำเนินการนี้เป็นไปตามนโยบายที่พยายามผลักดันในปัจจุบัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับชุมชนและสังคม และการตรวจและแนะนำผู้ประกอบการได้ก่อน จะเป็นประโยชน์สูงสุดกับประเทศ โดยโครงการนี้ยังเป็นกรอบแนวคิด (framework) ที่ดี สำหรับการตรวจสุขภาพรูปแบบอื่นที่ใช้เทคโนโลยีและมีต้นทุนถูก
เปรียบเทียบโครงการนี้กับการใช้ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมก่อนหน้านี้ นายสุเมธกล่าวว่า เหมือนกับการที่เราเคยต้องวัดคุณภาพอากาศเพียงปีละครั้ง แต่ตอนนี้เราใช้การวัดแบบ เรียลไทม์ (real-time) และมีห้อง War Room คอยควบคุม ซึ่งการเก็บข้อมูลก็เช่นกัน ทำให้เราเห็นภาพรวม เช่น ข้อมูลจากกากอุตสาหกรรมที่ค้างอยู่ในระบบ นำไปสู่การสร้างระบบควบคุมและออกแบบร่วมกันโดยใช้ Data Analytic
"พื้นที่รอบนิคมฯ หรือพื้นที่อุตสาหกรรมในอดีต ถือเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม ภายใต้อุตสาหกรรมแบบใหม่ที่เข้ามาในปัจจุบันนี้ คาดการณ์ว่าความเสี่ยงน่าจะน้อยลง เนื่องจากอุตสาหกรรมรุ่นใหม่มีความรับผิดชอบมากขึ้น โดยส่วนมากมีการออกแบบด้วยเทคโนโลยีที่ใช้คนน้อยลงและเป็น "อุตสาหกรรมที่สะอาดมากขึ้น" การปลดปล่อยมลพิษจึงน้อยลงตามไปด้วย
ขณะที่ นางโสมรสา พงษ์เพิ่มพฤกษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารและกิจการองค์กร บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แอสตร้าเซนเนก้า มุ่งมั่นใช้วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมเพื่อยกระดับสุขภาพของผู้คน และสร้างระบบสุขภาพที่เข้มแข็งและยั่งยืนให้กับประเทศไทย การดำเนินงาน ‘โครงการด้านสังคมส่งเสริมสุขภาพและสวัสดิภาพของบุคลากรในเขตนิคมอุตสาหกรรม’ แสดงให้เห็นพลังของการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และพันธมิตรด้านเทคโนโลยีสุขภาพ
ที่มุ่งมั่นให้แรงงานไทยได้เข้าถึงการตรวจสุขภาพเชิงป้องกันและคัดกรองโรคระบบทางเดินหายใจตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตด้วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและมะเร็งปอด แอสตร้าเซนเนก้า พร้อมเป็นพันธมิตรระยะยาวกับทุกภาคส่วนในการยกระดับการดูแลสุขภาพที่เน้นการป้องกันและผู้ป่วยควรได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น (Transform Care) ซึ่งการดำเนินงานในครั้งนี้ นับเป็นหนึ่งในโครงการริเริ่มภายใต้เครือข่ายความร่วมมือด้านนวัตกรรมสุขภาพระดับโลกของ “แอสตร้าเซนเนก้า” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ในโครงการ “A.Catalyst Network”
สำหรับกิจกรรม “ตรวจป(ล)อดภัย ด้วยนวัตกรรม AI” ดำเนินงานนำร่องในนิคมอุตสาหกรรมพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสระแก้ว ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา มีเป้าหมายให้บริการตรวจคัดกรองแรงงานรวม 5,000 คน ภายในระยะเวลา 2 เดือน (ธันวาคม 2568 - มกราคม 2569) โดยนำนวัตกรรม Inspectra CXR จากบริษัท เพอร์เซปตรา (Perceptra) สตาร์ทอัพสัญชาติไทย มาช่วยในการอ่านภาพเอกซเรย์ทรวงอก ซึ่งสามารถตรวจหาความผิดปกติของปอดได้ถึง 8 ประเภท มีความแม่นยำสูงถึง 98.9% และช่วยลดเวลาการอ่านผลของแพทย์ได้ถึง 70% เพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาผู้ป่วยในระยะเริ่มต้นได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์สุขภาพโลก โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เน้นย้ำความสำคัญของสุขภาพปอด ที่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะในประเทศไทย พบว่า โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) และมะเร็งปอด เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ และมักตรวจพบในระยะลุกลาม ทั้งที่สามารถป้องกันและรักษาได้หากตรวจพบเร็ว ประกอบกับปัจจัยเสี่ยงจากฝุ่น PM2.5 และสภาพแวดล้อมการทำงาน ทำให้กลุ่มแรงงานมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ







