ปัญหาสังคมสูงวัยกำลังกดดันเศรษฐกิจอาเซียน | ASEAN Insight

สังคมสูงวัยกำลังกลายเป็นความท้าทายสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะต่อประเทศกำลังพัฒนาและประเทศรายได้น้อยในอาเซียน แต่ละประเทศจำเป็นต้องกำหนดนโยบายที่รองรับผู้สูงอายุอย่างเหมาะสม ไม่ให้พวกเขาถูกมองเป็นภาระ และสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างเต็มศักยภาพ
สังคมสูงวัยกำลังกลายเป็นความท้าทายสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ โดยแนวโน้มประชากรของหลายประเทศกำลังเคลื่อนเข้าสู่สังคมสูงวัย การลดลงของกำลังแรงงานและการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายภาครัฐส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะต่อประเทศกำลังพัฒนาและประเทศรายได้น้อย ซึ่งต้องแบกรับความท้าทายนี้มากที่สุด แต่สังคมสูงวัยสร้างความท้าทายอย่างไรบ้างต่อระบบเศรษฐกิจ ในบทความนี้เราจะมาสำรวจประเด็นสำคัญเหล่านี้
อาเซียนกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยข้อมูลจาก ASEAN Secretariat ระบุว่า ในปี 2543 สัดส่วนเยาวชนคิดเป็น 41.9% ของประชากรทั้งภูมิภาค แต่ในปี 2566 สัดส่วนดังกล่าวลดลงเหลือเพียง 32.1% ขณะที่สัดส่วนผู้สูงอายุและวัยแรงงานเพิ่มขึ้นถึง 60.1% แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่กำลังมีอายุมากขึ้น
ในขณะที่ประเทศสมาชิกในอาเซียนที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ ได้แก่ สิงคโปร์ และ ประเทศไทย โดยสิงคโปร์มีสัดส่วนประชากรอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปมากกว่า 25% ทำให้สิงคโปร์เป็นประเทศสังคมสูงวัยเต็มขั้น ในขณะที่ประเทศไทยก็กำลังก้าวเข้าสู่สถานะดังกล่าว โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า ในปี 2567 เราได้มีประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปแล้วกว่า 14.3 ล้านคน หรือคิดเป็น 20% และในอีกไม่เกิน 5 ปี ได้เราจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ
หากประเทศเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ จะเกิดอะไรขึ้น โดยงานวิจัยของ Nicole, Kathleen, และ David ชี้ว่า สังคมสูงวัยจะลดอัตราการเติบโต GDP ของประเทศ โดยการเพิ่มขึ้น 10% ของประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ส่งผลให้ GDP Per Capita ลดลงกว่า 5.5% โดยผลกระทบดังกล่าวมีสาเหตุราวหนึ่งในสามจากการชะลอตัวของการเติบโตด้านการจ้างงาน และอีกราวสองในสามเกิดจากการลดลงของผลิตภาพแรงงาน (labor productivity)
ในขณะเดียวกัน งานศึกษาของกรมกิจการผู้สูงอายุได้สะท้อนประเด็นในทิศทางเดียวกัน โดยให้ความสำคัญกับผลกระทบด้านแรงงานเป็นหลัก งานศึกษาได้ระบุว่าสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่สอดคล้องกับอัตราการเกิด ส่งผลให้ความเสี่ยงต่อการขาดแคลนแรงงานในอนาคตทวีความสำคัญมากขึ้น ทั้งนี้ จำนวนประชากรวัยทำงานมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะหดตัวลงถึงประมาณ 15% ภายในปี 2583 ซึ่งจะส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ยังพบความท้าทายด้านสุขภาพและภาระทางการคลังของรัฐ ทั้งในส่วนค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการรักษาพยาบาล และงบประมาณสำหรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่หลายประเทศนำมาใช้เป็นมาตรการ เมื่อจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น รายได้ของประเทศชะลอตัวในขณะที่ภาระค่าใช้จ่ายไม่ลดลงตาม สถานการณ์ดังกล่าวจึงเป็นโจทย์เชิงนโยบายสำคัญที่แต่ละประเทศจำเป็นต้องพัฒนาแนวทางรองรับอย่างเร่งด่วน
ในระดับภูมิภาค แนวโน้มด้านประชากรของอาเซียนกำลังเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน โดยมีลักษณะสำคัญคือสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ขณะที่จำนวนแรงงานลดลงอย่างต่อเนื่อง หลายประเทศจึงเริ่มกำหนดนโยบายเพื่อบรรเทาผลกระทบและเตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ตัวอย่างหนึ่งคือการพัฒนาระบบการดูแลระยะยาว (Long-Term Care: LTC) เพื่อรองรับจำนวนผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อภาวะเจ็บป่วยที่เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งบางประเทศยังพิจารณาการขยายอายุเกษียณ เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงานในระบบเศรษฐกิจและรักษาระดับผลิตภาพแรงงานในระยะยาว
แนวคิด Active Aging เป็นกรอบความคิดสำคัญที่เน้นการมองผู้สูงอายุในฐานะทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่า ไม่ใช่ภาระต่อสังคม โดยผู้สูงอายุถือเป็นแหล่งองค์ความรู้และแรงงานด้านปัญญาที่สามารถมีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ งานศึกษาของสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า 51.1% ของผู้สูงอายุยังมีสุขภาพแข็งแรงและสามารถประกอบอาชีพได้ ขณะที่ 43.5% ยังทำงานเพื่อสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัว ซึ่งสะท้อนศักยภาพและความสำคัญของกลุ่มประชากรนี้ต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ภายใต้บริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ประเทศจำเป็นต้องกำหนดนโยบายและมาตรการที่รองรับผู้สูงอายุอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้ผู้สูงอายุถูกมองเป็นภาระ และสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีคุณค่าอย่างเต็มศักยภาพ
โดยสรุป สังคมสูงวัยกำลังสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค เมื่อประชากรมีอายุมากขึ้นและวัยแรงงานลดลง ประเทศจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรผู้สูงอายุอย่างเต็มศักยภาพ ไม่ควรมองผู้สูงอายุเพียงว่าเกษียณแล้วสิ้นสุดบทบาท แต่ควรพิจารณาพวกเขาเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมต่อไป ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากสังคมสูงวัยและการขาดแคลนแรงงานได้







