เบื้องลึก ครม.ถกเข้มงบฯมาตรา 28 ปิดช่องแจกเงินอุดหนุน หลังหนี้คงค้างกว่า 1.13 ล้านล้าน

เบื้องลึก ครม.ถกเข้มงบฯมาตรา 28  ปิดช่องแจกเงินอุดหนุน หลังหนี้คงค้างกว่า 1.13 ล้านล้าน

ครม.ถกเข้มแนวทางกำกับการใช้งบประมาณที่ใช้เงินจากโครงการมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 หลังระดับหนี้ใกล้แตะเพดานที่ 32% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี

KEY

POINTS

  • ครม.ถกเข้มแนวทางกำกับการใช้งบประมาณที่ใช้เงินจากโครงการมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561
  • หลังระดับหนี้ใกล้แตะเพดานที่ 32% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี
  • เผยยอดคงค้างตามมาตรา 28 กว่า 1.13 ล้านล้าน หนี้ส่วนของ ธ.ก.ส.กว่า 8 แสนล้าน
  • สั่งเด็ดขาดห้ามจ่ายอุดหนุนสินค้าเกษตรโดยตรง ห่วงภาระหนี้สูง ส่งผลต่อเครดิตเรตติ้งประเทศ 

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (9 ธ.ค.) ได้มีการหารือแนวทางในการกำกับการดำเนินโครงการมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 โดยมีการเน้นย้ำและทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการปฏิบัติเรื่องการใช้งบประมาณตามมาตรา 28 เพื่อควบคุมความเข้มงวดในการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ ทั้งนี้ แม้กรอบเพดานหนี้มีอยู่ 32% แต่ปัจจุบันเหลือพื้นที่ที่สามารถใช้ดำเนินการอุดหนุนโดยตรงได้เพียงประมาณ 3% เท่านั้น

"การทำความเข้าใจกับมาตรา 28 เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้การบริหารจัดการงบประมาณเป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และหลีกเลี่ยงการแทรกแซงตลาดโดยตรง หรือเงินอุดหนุนที่ให้เปล่าที่เป็นสิ่งที่จะสร้างภาระการคลังในอนาคตมากขึ้น" นายสิริพงศ์ กล่าว

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่ากระทรวงการคลัง ได้รายงานให้ ครม.รับทราบว่าปัจจุบันภาระทางการคลังฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการอนุมัติโครงการใหม่ในระดับสูง เมื่อเทียบกับการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยด่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการให้กับหน่วยงานของรัฐ

โดยในปีงบประมาณ 2567 – 2568 เพิ่มขึ้นจากการอนุมัติโครงการใหม่จำนวน 145,437 ล้านบาท และ 160,127 ล้านบาทตามลำดับในขณะที่รัฐบาลมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินโครงการให้กับหน่วยงานของรัฐ จำนวน 79,282 ล้านบาท  และ 76,917 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดคิดเป็น 2.2% และ 1.94% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี

ตามลำดับ ส่วนในปีงบประมาณ 2569 มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยให้กับหน่วยงานของรัฐ จำนวน58,249 ล้านบาท คิดเป็น 1.54% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ส่งผลให้ยอออดคงค้างของภาระทางการคลังฯ เพิ่มขึ้นจาก  1,004,391ล้านบาท ณ สิ้นปึงประมาณ 2566 เป็น 1,133,751 ล้านบาท ณ สิ้นปีงบประมาณ 2568

ทั้งนี้ ภาระทางการคลังฯ ส่วนใหญ่มาจากโครงการที่มีลักษณะเป็นการให้เงินอุดหนุนแบบให้เปล่าแก่เกษตรกรผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และไม่ได้ช่วยสนับสนุน -การยกระดับผลิตภาพการผลิตของภาคการเกษตร ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ได้มีมติกำหนดเป็นหลักการว่าให้ทุกหน่วยงานหลีกเลี้ยงการดำเนินการในลักษณะการให้เงินอุดหนุนช่วยเหลือชดเชย หรือประกันราคาสินค้าเกษตรโดยตรงแก่เกษตรกร

โครงการอุดหนุนแบบให้เปล่าใช้งบฯพุ่ง

อย่างไรก็ดีในทางปฏิบัติรัฐบาลยังมีการอนุมัติโครงการลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยในปีงบประมาณ 2567 - 2568 มีการอนุมัติโครงการที่มีลักษณะเป็นการให้เงินอุดหนุนแบบให้เปล่า จำนวน 93,830 ล้านบาท และ 89,103  ล้านบาท ตามลำดับยอดคงค้างของภาระทางการคลังฯ ในส่วนที่เป็นต้นเงินของโครงการที่มีลักษณะ เป็นการให้เงินอุดหนุนแบบให้เปล่า ณ สิ้นปีงประมาณ 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 806,803 ล้านบาท คิดเป็น 71.16% ของภาระทางการคลังฯ ทั้งหมด และคิดเป็นประมาณ 30% ของขนาดสินทรัพย์ ของ ธ.ก.ส.

ทั้งนี้ ยอดต้นเงินคงค้างของโครงการดังกล่าวที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้รู้บาลจำเป็นต้องต้องชดเชยต้นทุนเงินเพิ่มเติมอีกประมาณ 17,000 - 18,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องให้กับ ธ.ก.ส.

ทั้งนี้หากวิเคราะห์ความเสี่ยงในระยะปานกลาง พบว่ากรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีในระยะปานกลางตามแผนการคลังระยะปานกลางฯ จะขยายตัวในระดับต่ำที่ประมาณ 0.8% ต่อปี ส่งผลให้กรอบเพดานภาระทางการคลังฯ ขยายตัวในระดับต่ำด้วย

นอกจากนี้ ยังส่งส่งผลให้รัฐบาลมีพื้นที่ทางการคลังในการจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระคืนภาระทางการคลังฯ อย่างจำกัด ดังนั้นรัฐบาลจึงมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดแนวทางในการกำกับการดำเนินโครงการตาม 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ.2561 เพิ่มเติม เพื่อควบคุมยอดคงค้างของภาระทางการคลังฯ ให้อยู่ภายใต้กรอบเพดานที่32%  ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีในระยะปานกลาง ซึ่งจะเอื้อต่อการพิจารณาปรับลดกรอบเพดานให้กลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  ที่ 30% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ในระยะยาวต่อไป

ครมไฟเขียววางเกณฑ์ขอใช้เงิน ม.28 

สำหรับหลักเกณฑ์และแนวทางการขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯเพื่อให้การมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ได้รับ ความคุ้มค่า ภาระการเงินการคลังที่เกิดขึ้นแก่รัฐ รวมถึงความเสี่ยง และความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างรอบคอบ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ จึงเห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์และแนวทางการขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ดังนี้

1.เป็นการดำเนินการที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย และอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของหน่วยงานของรัฐที่ได้รับมอบหมายนั้น และ

 2.เป็นการดำเนินการที่เป็นไปเพื่อฟื้นฟูหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพหรือยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน หรือเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัยหรือการก่อวินาศกรรม และ

3.เป็นการดำเนินการที่ไม่สามารถขอรับจัดสรรงบประมาณตามปกติ รวมถึงไม่สามารถขอรับจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นได้ และเป็นการดำเนินการที่ไม่ได้มีลักษณะเป็นการมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐให้เงินอุดหนุน ช่วยเหลือ ชดเชย หรือประกันราคาสินค้าเกษตรโดยตรงแก่เกษตรกรตามนัยมติ ครม.หรือเป็นการดำเนินการในลักษณะเดียวกันสำหรับสินค้าหรือกิจกรรมใดๆให้กับผู้ประกอบการ หรือประชาชนโดยตรง

สภาพัฒน์หนุนคุมยอดคงค้างหนี้ม.28 

ด้านสภาสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)พิจารณาแล้ว เห็นควรให้ความเห็นชอบแนวทางในการกำกับการดำเนินโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ เพื่อควบคุมยอดคงค้างของภาระทางการคลังจากการดำเนิน โครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ในระยะปานกลาง ให้อยู่ภายใต้กรอบเพดานที่ 32% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี

อย่างไรก็ดี สำนักงานฯ มีความเห็นเพิ่มเติมว่า ควรกำหนดให้มีการประเมินผลการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯหลังจากดำเนินการแล้วเสร็จ เพื่อประเมินความคุ้มค่า โดยการวิเคราะห์เปรียบเทียบประโยชน์จากการดำเนินกิจกรรมมาตรการ หรือโครงการกับภาระทางการคลังที่เกิดขึ้นจริง เพื่อลดความเสียงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐด้วย