‘ผู้ซื้อต่างประเทศ’รีเควส‘กุ้งคาร์บอนต่ำ’เกษตรเทรนนิ่งเปลี่ยนผ่านสู่ฟาร์มสีเขียว

กรมประมงร่วม เอฟเอโอ และเครือข่ายภาคอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลไทย รวมพลังขับเคลื่อน “ระบบนิเวศกุ้งทะเลคาร์บอนต่ำ”สู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างยั่งยืน สมาคมกุ้งไทย ชี้ผู้ซื้อต่างประเทศร้องขอกระบวนการผลิตต้องช่วยลดคาร์บอน แนะเปลี่ยนผ่านพลังงานก่อนหวังติดฉลากสีเขียวที่ผลิตภัณฑ์สร้างความต่างคู่แข่ง
นางฐิติพร หลาวประเสริฐ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยในการเป็นประธานเปิดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลคาร์บอนต่ำ : ความร่วมมือ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” เวทีสำคัญที่รวบรวมพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในห่วงโซ่อุตสาหกรรมกุ้งทะเล เพื่อพัฒนา การสร้างเครือข่ายการผลิตและการตลาดสีเขียว เชื่อมโยงเกษตรกร ผู้ประกอบการ ภาควิชาการนวัตกรรม และภาคการเงินเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมสัตว์น้ำไทยสู่เศรษฐกิจสีเขียวและตลาดโลกอย่างยั่งยืน
การจัดสัมมนาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “การพัฒนาการรับรองการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำคาร์บอนต่ำในประเทศไทย” ซึ่งดำเนินการร่วมกันระหว่าง กรมประมง และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกขั้นตอนการผลิต ผ่านการส่งเสริมระบบนิเวศการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Aquaculture Ecosystem) ที่สอดคล้อง กับแนวทางเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) เพื่อสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ปักหมุดจังหวัดนำร่างพัฒนาศักยภาพ
ทั้งนี้ การดำเนินการภายใต้โครงการดังกล่าว มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของเจ้าหน้าที่และกลุ่มเกษตรกรต้นแบบในพื้นที่นำร่องจังหวัดฉะเชิงเทราและจันทบุรี รวมจำนวนทั้งสิ้น 27 ราย เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่กระบวนการรับรอง “คาร์บอน ฟุตพริ้นต์แบบกลุ่ม” ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมกุ้งทะเลไทยสู่ระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการผลิตอย่างยั่งยืน
“กรมประมงมุ่งสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยผสานความร่วมมือกับพันธมิตรทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมกุ้งทะเลไทยสู่การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างแท้จริง พร้อมผลักดันให้ “กุ้งทะเลคาร์บอนต่ำของไทย” ก้าวขึ้นเป็น สัญลักษณ์แห่งความร่วมมือ นวัตกรรมสีเขียว และความยั่งยืนในระดับสากล สะท้อนภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะผู้นำด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”
สำหรับ โครงการความร่วมมือทางเทคนิคของ FAO มีวัตถุประสงค์ในการยกระดับการเลี้ยงกุ้งทะเลของไทยให้มีประสิทธิภาพ รองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยแนวปฏิบัติและนวัตกรรมสู่แนวทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำคาร์บอนต่ำ ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่การผลิต ไปจนถึงการประเมินและรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นต์ การสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลโดยตรงต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ทั้งอุณหภูมิ ความเค็ม และโรคในกุ้งที่รุนแรงขึ้น
ตลาดโลกให้ความสำคัญสินค้าคาร์บอนต่ำ
ขณะเดียวกัน ตลาดโลกเริ่มให้ความสำคัญกับสินค้าคาร์บอนต่ำ ประเทศไทยจึงต้องเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมกุ้งให้ยั่งยืน เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันไทยตั้งเป้า Carbon Neutrality U 2050 / Net Zero U 2065 ประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายใหญ่ในการลดคาร์บอน โดยเฉพาะการเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และ Net Zero ภายในปี 2065 ภาคเกษตรต้องร่วมลด GHG 2.74 MtCO:eq ภายในปี 2030
การเลี้ยงกุ้งทะเลจึงต้องปรับตัวเข้าสู่ระบบคาร์บอนต่ำ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในอนาคตโดยการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำคาร์บอนต่ำ เริ่มจาก มีวิธีการลดการปลดปล่อยคาร์บอน จากการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล ด้วยการกำหนดขอบเขตและการวิเคราะห์ช่องว่าง(Gap analysis) การประชุมเชิงปฏิบัติการให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ การประชุมเชิงปฏิบัติการ การให้คำปรึกษาผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ส่งเสริมวิธีการลดการปลดปล่อย คาร์บอนจากการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล เริ่มจากสำรวจและแนะนำแนวกางที่เหมาะสมในการลดการปลดปล่อยคาร์บอนในฟาร์ม เก็บข้อมูลการ การปล่อยคาร์บอนในฟาร์ม
เปิดวิธีประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นต์
การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นต์ ต้องมีเครื่องมือพัฒนาสำหรับ กระบวนการประเมินและ การรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นต์ เก็บข้อมูลในฟาร์มและ พัฒนาฐานข้อมูล (1 ปี) ทวนสอบและการขอการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นต์
การสร้างขีดความสามารถ การแบ่งปันความรู้ ด้วยการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของรัฐ ศึกษาดูงานของเกษตรกร และ การประชุมเชิงปฏิบัติการ
ทั้งนี้โครงการดังกล่าวนำร่องดำเนินการในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา 15 ฟาร์ม และจังหวัดจันทบุรี 15 ฟาร์มมีแนวทางการจัดการฟาร์ม ด้วยการใช้นวัตกรรมและการปฏิบัติที่ดีสำหรับการเลี้ยงกุ้งทะเลคาร์บอนต่ำและการเก็บข้อมูลภาคสนามการใช้พื้นที่อย่างมีความรับผิดชอบ โดยการเลี้ยงกุ้งต้องไม่อยู่ในพื้นที่ที่ไม่กระทบกับป่าชายเลน มีการออกแบบบ่อและโซนฟาร์มให้มีการจัดการระบบการเพาะเลี้ยงและระบบการจัดการน้ำเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ใช้ลูกกุ้งในปริมาณที่สอดคล้องกับขนาดบ่อและศักยภาพของระบบตลอดจนการคัดเลือกสายพันธุ์เข้ากับภูมิประเทศของพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การจัดการที่มีประสิทธิภาพเหมาะสม โดยลูกกุ้งต้องมีความปลอดภัยทางชีวภาพของระบบฟาร์ม ดินต้องสะอาด รักษาคุณภาพน้ำระหว่างการเลี้ยง
สร้างสภาพแวดล้อมการเลี้ยงคาร์บอนต่ำ
ใช้จุลินทรีย์เสริมสร้างสุขภาพของกุ้ง ให้สมดุลย์ทั้งในอาหารในน้ำและดินในบ่อการป้องกันไบโอฟิล์มของเชื้อโรค การใช้พลังงานทดแทน ให้ติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ที่มีอุปกรณ์และเลือกใช้ระบบได้เหมาะสมกับปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าของฟาร์ม
มีความเข้าใจการคำนวณการผลิตไฟฟ้าของระบบโซล่าเซลล์เพื่อลดการใช้พลังงานได้ถึง 30% การจัดการให้อาหารกุ้งอย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้อาหารที่มาจากกระบวนการผลิตที่ลดการปล่อยคาร์บอนใช้วัตถุดิบที่ยั่งยืนพร้อมกับการลดการปนเปื้อนของสิ่งแวดล้อม การใช้เทคโนโลยีแอปพลิเคชั่นเพื่อช่วยลดค่า FCR และมีวิธีการจัดการเข้าถึงอาหารของกุ้งที่เหมาะสมโดยการใช้สูตรอาหารระดับโปรตีนที่เหมาะสมและมีการเลือกเสริมอาหารที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมควบคุมคุณภาพน้ำ การใช้ระบบ IoT sensor ในเฝ้าระวังติดตามและควบคุมอุปกรณ์การตรวจสอบคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อจัดการคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยงตัวอย่างเช่น Biofloc Technology ตลอดจนการป้องกันและการจัดการโรคสัตว์น้ำตามหลักวิชาการและคำแนะนำของห้องปฏิบัติการ
การใช้ระบบการจัดการน้ำหมุนเวียนลดการปล่อยน้ำทิ้งและการปล่อยของเสียออกธรรมชาติด้วยการจัดการให้มีระบบน้ำหมุนเวียนแบบปิดในการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลและมีการสร้างบ่อกักเก็บเลนให้มีการย่อยสลายโดยธรรมชาติ
จัดการของเสีย-ระบบขนส่งในฟาร์มเลี้ยง
การจัดการขยะของเสียในฟาร์มการเลือกใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือย่อยสลายได้และการขนส่งวัตถุดิบและปัจจัยการผลิตการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งด้วยการวางแผนขนส่งแบบรวมศูนย์การจัดซื้อวัตถุดิบในท้องถิ่นและลดรอบการขนส่งและของเสีย
นายเอกพจน์ ยอดพินิจ นายกสมาคมกุ้งไทย กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ซื้อในต่างประเทศต่างส่งความต้องการเพิ่มเติมที่กำหนดให้การเลี้ยงต้องต้องเป็นระบบคาร์บอนต่ำ ดังนั้น ผู้เลี้ยง รวมถึงภาครัฐที่เกี่ยวข้องต้องตระหนักถึงการปรับตัวเพื่อให้การผลิตสอดคล้องกับความต้องการใหม่ๆของผู้ซื้อในต่างประเทศ
สำหรับตลาดที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากคือ ยุโรปและสหรัฐ แต่คาดว่าจากนี้จะมีข้อเรียกร้องด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆมากขึ้น หากผู้เลี้ยงเข้าใจและเร่งปรับตัวตั้งแต่บัดนี้ก็จะสามารถตอบโจทย์ทางการค้าแห่งอนาคตได้
เเนะเริ่มที่พลังงานสะอาดหวังฉลาดสีเขียว
ทั้งนี้ มีข้อเสนอแนะว่าควรเริ่มต้นทุนที่เปลี่ยนระบบพลังงานในบ่อเลี้ยงโดยใช้พลังงานสะอาด เช่น โซลาร์เซลล์ หรือ พลังงานลม ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความรู้และสนับสนุนในแง่เงินทุน เบื้องต้น การเปลี่ยนพลังงานในบ่อเลี้ยง เฉพาะมอร์เตอร์ให้อากาศ เฉลี่ยนบ่อละ 1-2 แสนบาท ซึ่งมองว่าไม่ใช่การใช้เงินทั้งหมด แต่อาจเป็นรูปแบบการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ หรือ การสนับสนุนอุปกรณ์และเทคโนโลยี ตามความเหมาะสม เพื่อให้เกษตรกรเริ่มต้นและสามารถพัฒนาต่อยอดได้ต่อไป
“ถ้าเราใช้พลังงานสะอาดในบ่อเลี่้ยง ก็จะสามารถนำข้อมูลสัดส่วนการลดคาร์บอนที่ได้ ได้ติดเป็นฉลากสีเขียวที่ผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นการสร้างความแตกต่างระหว่างกุ้งจากประเทศไทยกับประเทศคู่แข่ง ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสทางการตลาด เพิ่มมูลค่า ขณะเดียวกัน พลังงานสะอาดจะสามารถช่วยลดต้นทุนของผู้เลี้ยงได้อีกทางหนึ่ง”







