เปิดรายละเอียด ‘TISA’ คลังชู ลดหย่อนภาษีแบบใหม่ เพดานสูงสุด 8 แสนบาท เริ่มใช้ปี 69

ครม.เศรษฐกิจ อนุมัติมาตรการออม รับสังคมสูงวัย ลดหย่อนภาษีสูงสุด 8 แสนบาท ผุดบัญชีออมยาว “TISA” ดีเดย์ปี 69 อัดฉีดสิทธิประโยชน์กลุ่มรายได้น้อย-ปานกลาง หักลดหย่อนเพิ่ม 1.3 เท่า สำหรับคนที่รายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ส่วนรายได้เกิน 1.5 ล้านบาทหักลดหย่อนเหลือ 0.7 เท่า หวังดึงเม็ดเงินเข้าตลาดทุนสร้างความมั่นคงระยะยาว
KEY
POINTS
- เปิดรายละเอียด บัญชีออมยาว “TISA” ดีเดย์ใช้ปี 69 หลังผ่าน ครม.เศรษฐกิจ จ่อเข้า ครม. อนุมัติ
- คลังชี้มาตรการหนุนการออม รับสังคมสูงวัย ลดหย่อนภาษีสูงสุด 8 แสนบาท
- เผยอัดฉีดสิทธิประโยชน์กลุ่มรายได้น้อย-ปานกลาง หักลดหย่อนเพิ่ม 1.3 เท่า สำหรับคนที่รายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ส่วนรายได้เกิน 1.5 ล้านบาทหักลดหย่อนเหลือ 0.7 เท่า
- เงื่อนไขถือครองกองทุน 5 ปี หวังดึงเม็ดเงินเข้าตลาดทุนสร้างความมั่นคงระยะยาว
รัฐบาลได้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจ ภายใต้ชุดนโยบาย “Quick Big Win” ที่มีหลักการในการดำเนิน นโยบาย คือ กระตุ้นสั้นได้ผลยาว กระจายตัวผ่านนโยบาย 5 เสาหลัก ได้แก่
1.กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายคนละครึ่งพลัส ที่ปัจจุบันใช้จ่ายเงินลงระบบเศรษฐกิจจากรัฐบาล และประชาชนแล้ว 70,000 ล้านบาท
2.มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน โดยดำเนินการผ่านมาตรการรถไฟฟ้า 40 บาทแบบเหมาจ่าย การลดค่าไฟฟ้างวดเดือนม.ค.- เม.ย.2569
3.มาตรการส่งเสริม SMEs โดยปล่อยกู้สินเชื่อต่ำ และค้ำประกันสินเชื่อให้กับ SMEs วงเงินรวม 327,000 ล้าน บาท
4.เพิ่มเงินออมประชาชน มีมาตรการเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) วันที่ 8 ธ.ค.2568
5.การส่งเสริมการลงทุนเพื่ออนาคต เช่น มาตรการเร่งรัดการดึงดูดการลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อปลดล็อกการลงทุนในโครงการ Thailand Fast Pass กว่า 3 แสนล้านบาท
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) วันที่ 8 ธ.ค.2568 พิจารณามาตรการส่งเสริมออมของประชาชน เพื่อเพิ่มโอกาสการออม และความมั่นคงทางการเงินรองรับสังคมสูงอายุ
“จะเพิ่มวงเงินลดหย่อนเป็น 800,000 บาท ไม่ต้องขอปีต่อปี และให้ผู้มีรายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ได้ลดหย่อนเพิ่มขึ้น โดยออมได้ 1.3 เท่า ซึ่งปัจจุบันคนส่วนใหญ่ 11.4 ล้านคน จะได้ประโยชย์จากส่วนนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงอายุ และมีแหล่งระดมเงินออมมากขึ้น มีเงินเข้าตลาดทุนมากขึ้น” นายเอกนิติ กล่าว
โครงการบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุว่าภาครัฐต้องส่งเสริมการออมเพื่อเกษียณสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และปานกลาง โดยกระทรวงการคลังเสนอ 6 มาตรการดังนี้
1.โครงการบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล (Thailand Individual Savings Account) หรือโครงการ “TISA” เพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว และเพิ่มทางเลือกการลงทุนที่หลากหลายทั้งสินทรัพย์ในประเทศ และต่างประเทศผ่านตลาดทุนไทย ซึ่งจะเพิ่มความเพียงพอของเงินออมระยะยาวให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้น้อยที่เป็นกลุ่มมีช่องว่างการออมสูงสุด
ทั้งนี้ การออมเงินระยะยาวผ่านบัญชี TISA คนไทยทุกคนเปิดบัญชีนี้กับผู้ประกอบธุรกิจที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 สำหรับการเปลี่ยนผ่านจากมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวสู่มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวผ่านบัญชี TISA
รวมทั้งตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2569 สำหรับมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวผ่านบัญชี TISA และการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับมาตรการยกกำลังการออม
ลดหย่อนภาษีได้ 8 แสนบาท
ทั้งนี้ มาตรการช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน เป็นการปรับปรุงการหักลดหย่อนที่เพิ่มจากเดิม 500,000 บาท เป็นนำเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ เงินสะสม เงินซื้อหน่วยลงทุน ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินปีภาษีละ 800,000 บาท ไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แบ่งเป็น 2 กรณี คือ
กรณีผู้มีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ให้หักลดหย่อนได้ 1.3 เท่า สูงสุดไม่เกิน 1.04 ล้านบาท ต่างจากปัจจุบันหักลดหย่อนได้ 1 เท่า และกรณีมีเงินได้เกิน 1.5 ล้านบาท ให้หักลดหย่อนได้ 0.7 เท่า หรือสูงสุดไม่เกิน 560,000 บาท โดยเงินลดหย่อนสูงสุดนี้ยังนับว่าสูงกว่าปัจจุบันที่ให้ลดหย่อนได้ 500,000 บาท
สำหรับมาตรการนี้ก่อให้เกิดผลบวกทางการคลังจากการปรับโครงสร้างสิทธิให้กลุ่มผู้มีรายได้สูงได้รับประโยชน์ลดลง และนำส่วนดังกล่าวไปเพิ่มแรงจูงใจให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางส่งผลให้เกิดวินัยการคลังที่ดีขึ้น พร้อมทั้งขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ทั่วถึง และเป็นธรรมมากขึ้น คาดว่าจะทำให้รับมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 5,700 ล้านบาท
สำหรับการคำนวณค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานี้ให้ ผู้มีเงินได้ต้องถือหลักทรัพย์ดังกล่าวในบัญชี TISA มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีนับตั้งแต่วันซื้อหลักทรัพย์ในบัญชี TISA ครั้งแรก และไถ่ถอนหลักทรัพย์นั้นเมื่อผู้มีเงิน ได้มีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์ และให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากร ประกาศกำหนด
นอกจากนั้นสำหรับการลงทุนในส่วนที่เกิน 8 แสนบาท ไม่สามารถนำมาหัก ลดหย่อนได้ แต่ภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงิน และผลประโยชน์ใดๆ รวมถึงกำไรจากการขาย หลักทรัพย์จะมีภาระภาษีหรือไม่มีภาระภาษีให้เป็นไปตามกฎหมายปัจจุบัน (สามารถลงทุนเกิน 8 แสนบาท ได้โดยไม่มีข้อจำกัด แต่นำมาหักลดหย่อนได้เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 8 แสนบาท) กำหนดเวลาใช้บังคับ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2569 เป็นต้นไป
ดันมาตรการไมโครอินชัวรันส์
2.มาตรการยกเว้นอากรแสตมป์สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) มาตรการยกเว้นอากรแสตมป์สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) เป็นกรมธรรม์ที่ออกแบบมาพิเศษสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย เพื่อให้เข้าถึงการประกันภัยขั้นพื้นฐานได้ด้วยเบี้ยประกันภัยที่ไม่สูงมาก
มาตรการนี้คาดว่าจะทำให้สูญเสียรายได้อากรแสตมป์จากการยกเว้นอากรแสตมป์ สำหรับกรมธรรม์รายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) ปีละ 11.3 ล้านบาท แบ่งเป็นการสูญเสียรายได้ จากประกันภัยสำหรับประกันวินาศภัยรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) ปีละ 0.3 ล้านบาท และจากประกันชีวิตรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) ปีละประมาณ 11 ล้านบาท
เล็งออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการออม
3.โครงการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการออม โครงการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการออมโดยจำหน่ายให้กับประชาชน ผ่านช่องทาง Bond Connect Platform ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มกลางสำหรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนพันธบัตร เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเข้าถึงพันธบัตรรัฐบาลได้ง่าย และทั่วถึงยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ มีระยะเวลาการดำเนินการ สำหรับแผนการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาล ให้กับประชาชนรายย่อยผ่านช่องทาง Bond Connect Platform คาดว่าจะเริ่มดำเนินการจัดจำหน่าย ครั้งแรกในเดือนม.ค.2569
หนุนประกันชีวิตแบบบำนาญ
4.การออกผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบบำนาญรูปแบบจ่ายเงินก้อนเมื่อเริ่มรับบำนาญ (Lump-Sum Annuity) โดยแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การจ่ายผลประโยชน์ เงินบำนาญสำหรับการหักลดหย่อนเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ
ทั้งนี้จากเดิมกำหนดให้การจ่าย ผลประโยชน์เงินบำนาญต้องจ่ายเท่ากันทุกงวดหรือจ่ายในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นตามระยะเวลาเอาประกันภัย ปรับปรุงเป็นเงินบำนาญงวดแรกที่ได้รับอาจจ่ายเป็นเงินก้อน ได้ไม่เกิน 30% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
5.การปฏิรูปหลักเกณฑ์การลงทุนของธุรกิจประกันภัยเพื่อยกระดับความมั่นคง และผลตอบแทนของเงินออมของประชาชน ให้บริษัทยังคงดำเนินการลงทุนอยู่ภายใต้การบริหารความเสี่ยง และจำกัดเพดานการลงทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อปรับปรุงแนวทางการกำกับดูแลการลงทุน ให้สอดคล้องกับความเสี่ยง และภาวะของตลาดเงินตลาดทุนที่เปลี่ยนแปลง
6.การปรับปรุงหลักเกณฑ์ค่าความเสี่ยงตราสารทุนเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง ทางการเงินให้แก่ประชาชน การปรับปรุงหลักเกณฑ์ค่าความเสี่ยงของการลงทุน (Risk Charge) ในตราสารทุน ให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตลาดทุน และเพิ่มความมั่นคงทางการเงิน ให้แก่ประชาชน เพื่อส่งเสริมให้เกิดแรงจูงใจในการลงทุนในตราสารทุนไทยมากขึ้น นำไปสู่การเสริมสร้างความ เข้มแข็งให้กับตลาดทุนในประเทศ
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







