'ศุภจี' หวั่นเจรจาภาษีทรัมป์ยืดเยื้อ เอกชนแนะทำความเข้าใจสหรัฐปม 'กัมพูชา'

“ศุภจี" หวั่นสถานการณ์ไทย-กัมพูชายืดเยื้อ ไม่มั่นใจปิดดีลทันปี 68 ย้ำไทยเจรจาผ่านทุกช่องทางหลัง USTR ระงับชั่วคราว “ภาคเอกชน” เรียกร้องรัฐบาลเร่งแก้ปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชาให้ยุติโดยเร็ว “หอการค้า” ระบุต้องปกป้องอธิปไตยเป็นอันดับแรก ความมั่นคงต้องมาก่อนเศรษฐกิจ ส.อ.ท.แนะเร่งดูแลอพยพประชาชนชายแดน
KEY
POINTS
- นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ กังวลว่าเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา อาจทำให้การเจรจาภาษีกับสหรัฐ ยืดเยื้อ และไม่ทันตามเป้าหมายปี 2568 หลังผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ขอระงับการเจรจาชั่วคราว
- ภาคเอกชน โดยสภาอุตสาหกรรมฯ และสภาหอการค้าไทย แนะให้รัฐบาลเร่งชี้แจง และทำความเข้าใจกับสหรัฐ ว่าไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มต้นความขัดแย้ง เพื่อลดผลกระทบต่อการเจรจาพร้อมเรียกร้องรัฐบาลเร่งแก้ปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชาให้ยุติโดยเร็ว
- ความขัดแย้งชายแดนส่งผลกระทบโดยตรงต่อการค้าชายแดนที่มูลค่าลดลงกว่า 99% และกระทบทางอ้อมต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และบรรยากาศการท่องเที่ยวของประเทศ
สถานการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทย และกัมพูชารอบใหม่ เริ่มมาตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ 7 ธ.ค.2568 โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2568 จะบูรณาการเต็มกำลังปกป้องอธิปไตย รวมทั้งยึดตามมติสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในการฏิบัติการทางทหาร
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ได้ส่งหนังสือถึงไทยเพื่อหยุดกระบวนการเจรจา ในขณะที่ฝ่ายไทยยืนยันที่จะมีการเจรจาข้อตกลงการกับสหรัฐต่อ
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การปะทะระหว่างไทย-กัมพูชาที่ปะทะรอบใหม่จะไม่กระทบการเจรจาภาษีตอบโต้ของสหรัฐมากกว่านี้ จากอัตราภาษีที่ไทยถูกเรียกเก็บ 19% แต่ไม่มั่นใจว่าเป้าหมายปิดการเจรจาภายในปี 2568 จะทันหรือไม่
ทั้งนี้ ส่วนตัว “ไม่กังวล” เพราะมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไทยไม่ได้เป็นฝ่ายผิด และไม่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน โดยไทยจะเจรจาต่อในทุกช่องทาง แม้ USTR จะส่งหนังสือระงับการเจรจาชั่วคราวจนกว่าสถานการณ์ความขัดแย้งจะยุติลง ซึ่งทีมไทยแลนด์ส่งหนังสือยืนยันว่ามีความประสงค์เจรจาต่อ แต่ USTR ยังไม่ได้ตอบรับมา
ขณะที่เมื่อยังไม่ได้ข้อสรุป และลงนามข้อตกลงการค้า ถือว่าไทยยังคงมีความยืดหยุ่นทางการค้า โดยผลกระทบเดียวที่ไทยได้รับขณะนี้คือ “ความไม่แน่นอน” จึงต้องจับตาสถานการณ์หลังจากนี้
ขณะเดียวกันอาจเป็นประโยชน์ต่อการค้าได้เพราะกรณีไม่ได้ข้อสรุปเร็วอาจเป็นประโยชน์กรณีเทียบกับมาเลเซีย และกัมพูชาบรรลุข้อตกลงแล้ว รวมทั้งคาดว่าการที่สหรัฐขอระงับการเจรจาภาษีกับไทยอาจมาจากการที่ศาลฎีกาสหรัฐอยู่ระหว่างการไต่สวนว่าคำสั่งของประธานาธิบดีสหรัฐชอบหรือไม่ ดังนั้นจึงไม่น่าเกี่ยวกับสถานการณ์ปะทะไทย และกัมพูชา
สำหรับผลกระทบสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทยกัมพูชาต่อการค้าชายแดนไทยน่าจะไม่กระทบมากกว่าเดิมจากเดือนมิ.ย.2568 ที่ได้มีดำเนินการปิดด่านไทย-กัมพูชาไปแล้ว ทำให้มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ลดลงต่อเนื่องไปแล้ว 99.99%
ส่วนประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญหลังจากนี้ คือ การดูแลผู้ประกอบการชายแดน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะช่วยด้วยการนำสินค้าจากผู้ผลิตใน 7 จังหวัดชายแดน ไปจัดจำหน่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่พร้อมกับเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมกิจกรรมของกระทรวงพาณิชย์ เช่น มหกรรมท้องฟ้าในพื้นที่อื่น
ขณะที่การช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ลงทุนในกัมพูชา ทางกระทรวงการคลังเตรียมที่จะออกมาตรการช่วยเหลือ เช่น สินเชื่อเสริมสภาพคล่อง การโอนย้ายเครื่องจักร เครื่องมือโดยไม่เสียภาษี
ส.อ.ท.จับตาผลกระทบเจรจาสหรัฐ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สถานการณ์ความขัดแย้งนี้กระทบเรื่องที่สหรัฐใช้เป็นเงื่อนไขผูกติดไว้ ซึ่งผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ส่งหนังสือถึงไทยเพื่อหยุดกระบวนการเจรจา ซึ่งเป็นสัญญาณว่าสหรัฐยังนำเรื่องนี้เป็นเงื่อนไขการเจรจา ดังนั้นไทยต้องชี้แจงและทำความเข้าใจกับสหรัฐ โดยยืนยันถึงหลักฐานที่ชัดเจน และคงต้องรอดูท่าทีสหรัฐ
สำหรับผลกระทบทางเศรษฐกิจ และสังคมที่ชัดเจน คือ การอพยพชาวไทยออกนอกพื้นที่หลายแสนคนในหลายจังหวัดชายแดน เพื่อป้องกันความเสียหายต่อชีวิต ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจชายแดนเพิ่มขึ้น โดยมูลค่าการค้าชายแดนลดลงเหลือเพียง 0.5% เท่ากับการค้าหายไปถึง 99.5% เกือบเท่ากับการปิดด่านการค้าถาวร ซึ่งการปิดด่านที่ผ่านมากระทบการค้าต่อวัน 500 ล้านบาท
“การอพยพทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ และการประกอบอาชีพหยุดชะงัก หลายอุตสาหกรรมหยุดลง เช่น ภาคการเกษตร รวมถึงโรงงาน และโรงเรียนต้องหยุดเพื่อความปลอดภัย การค้าใน 3-4 จังหวัดได้รับผลกระทบ และหวังว่าไทยจะดำเนินการเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อไม่ให้สถานการณ์ยืดเยื้อ เพราะสิ่งที่กระทบเพิ่มขึ้นคือขวัญ และกำลังใจประชาชน ที่ต้องอพยพออกจากบ้านเรือน” นายเกรียงไกร กล่าว
เรียกร้องรัฐบาลเร่งยุติความขัดแย้ง
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสภาหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในนามภาคเอกชนไทยขอแสดงจุดยืนต่อสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีเหตุปะทะเกิดขึ้นเพิ่มเติมในช่วงที่ผ่านมา โดยภาคเอกชนไม่สนับสนุนให้เกิดความรุนแรง การเผชิญหน้า หรือสงครามในทุกรูปแบบ
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ไทยถูกละเมิดอธิปไตย และมีการกระทำที่ฝ่าฝืนข้อตกลงระหว่างประเทศหลายครั้ง ซึ่งไทยย่อมมีสิทธิ และความจำเป็นในการปกป้องอธิปไตย ความมั่นคง และความปลอดภัยของประชาชนตามหลักสากล
ทั้งนี้ หอการค้าไทยเห็นว่าสถานการณ์เช่นนี้ต้องแยกประเด็นด้านความมั่นคงออกจากประเด็นเศรษฐกิจ ซึ่งความมั่นคงประเทศ และชีวิตประชาชนต้องมาก่อนเศรษฐกิจเป็นลำดับแรก แม้ภาคธุรกิจจะได้รับผลกระทบมาก โดยเฉพาะจากการปิดด่านการค้าชายแดนที่ยืดเยื้อมากกว่าครึ่งปี ซึ่งส่งผลต่อการค้าชายแดน การลงทุน และบั่นทอนความเชื่อมั่นนักลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ
หนุนรัฐบาลรักษาอธิปไตยไทย
รวมทั้งภาคเอกชนเห็นว่าสถานการณ์ดังกล่าวต้องจัดการเด็ดขาด ชัดเจน และยุติโดยเร็ว เพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในเวทีนานาชาติ และทำให้ระบบเศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นคง ดังนั้นหอการค้าไทยสนับสนุนรัฐบาลเร่งแก้ปัญหาให้จบเร็ว และโดยสิ้นเชิง รวมถึงพิจารณามาตรการที่เหมาะสม และจำเป็นหากต้องดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อปกป้องอธิปไตย และผลประโยชน์ประเทศ
ขณะเดียวกันภาคเอกชนเห็นว่าการสื่อสารกับนานาชาติเป็นเรื่องสำคัญ โดยภาครัฐควรเร่งสื่อสารทำความเข้าใจ และชี้แจงอย่างเป็นระบบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมิได้เกิดจากไทยเป็นฝ่ายเริ่มต้น แต่เป็นผลจากการละเมิดข้อตกลง และอธิปไตยไทยโดยกัมพูชาต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ลดความคลาดเคลื่อน และรักษาภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีโลก
“หอการค้าหวังว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะคลี่คลายลงเร็ว นำไปสู่ความสงบเรียบร้อย สันติภาพ และความมั่นคงของประเทศ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศไทย และประชาชนชาวไทยระยะยาว”
ขัดแย้งกัมพูชาการกระทบทางอ้อม
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา มีผลกระทบทางตรงอาจไม่มากนัก หรือมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไม่มาก เพราะการส่งออกไทยไปกัมพูชามีสัดส่วนเพียง 2-3% ของการส่งออกรวม และ 70% ของมูลค่าดังกล่าวเป็นการค้าชายแดนที่ถูกปิดไปแล้ว
“ผลทางตรงจะปรากฏในตัวเลขการค้าที่ผ่านมาแล้ว แต่ความสูญเสีย และความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งยากจะประเมินขณะนี้”
ทั้งนี้ แม้ผลกระทบทางตรงอาจไม่มาก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผลกระทบทางอ้อม โดยสิ่งที่น่ากังวลมากกว่า คือ การซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย ภายใต้สิ่งที่ต้องเผชิญในปัจจุบันจากน้ำท่วมภาคใต้ ผนวกกับผลกระทบจากความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่เป็น 2 เรื่องในช่วงฤดูท่องเที่ยว ดังนั้น ประเด็นดังกล่าวอาจกระทบความสนใจการมาเที่ยวไทย รวมถึงภาพการลงทุนระยะข้างหน้าที่อาจชะลอออกเช่นกัน
“วันนี้ 2 เรื่อง ทั้งข้อพิพาทไทย-กัมพูชา และน้ำท่วมเป็นปัจจัยที่ประเมินตัวเลขได้ยาก โดยน้ำท่วมเบื้องต้นคาดผลกระทบอยู่ที่ 0.1-0.2% ของจีดีพี แม้ผลกระทบเศรษฐกิจไทยไม่มาก แต่ทางอ้อมกระทบต่อบรรยากาศการท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นประเทศ เป็นสิ่งที่ต้องจับตาดูหลังจากนี้”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







