‘เอกชน’ ร้องรัฐบาลเร่งแก้ปมกัมพูชา ชี้ความมั่นคงมาก่อนเศรษฐกิจ

“เอกชน” ร้องรัฐบาลเร่งแก้ปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชาให้ยุติโดยเร็ว “หอการค้า” ระบุต้องปกป้องอธิปไตยเป็นอันดับแรก ความมั่นคงต้องมาก่อนเศรษฐกิจ ส.อ.ท.แนะเร่งดูแลอพยพประชาชนชายแดน ชี้เจรจาภาษีทรัมป์ต้องรอดูท่าทีสหรัฐ “เคเคพี” หวั่นผลกระทบชายแดน-น้ำท่วม กระทบภาคการท่องเที่ยวฤดูท่องเที่ยว ส่งผลการลงทุนระยะข้างหน้าวูบ
KEY
POINTS
- ภาคเอกชนนำโดยหอการค้าไทยเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาให้ยุติโดยเร็ว โดยย้ำว่าความมั่นคงของประเทศและชีวิตประชาชนต้องมาก่อนเศรษฐกิจ
- สถานการณ์ปะทะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจชายแดน โดยการปิดด่านและการอพยพประชาชนทำให้มูลค่าการค้าชายแดนลดลงถึง 99.5% หรือเสียหายวันละ 500 ล้านบาท
- ภาคเอกชนสนับสนุนให้รัฐบาลใช้มาตรการที่เด็ดขาดเพื่อปกป้องอธิปไตย และเรียกร้องให้เร่งสื่อสารกับนานาชาติเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องว่าไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน
- ความขัดแย้งส่งผลกระทบทางอ้อมต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและอาจกระทบต่อการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่น
- สภาอุตสาหกรรมฯ ชี้ว่าความขัดแย้งยังส่งผลกระทบต่อการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งได้ส่งสัญญาณระงับกระบวนการเจรจา
สถานการณ์ปะทะนกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชารอบใหม่ เริ่มมาตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ 7 ธ.ค.2568 โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2568 จะบูรณาการเต็มกำลังปกป้องอธิปไตย รวมทั้งยึดตามมติสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในการฏิบัติการทางทหาร
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสภาหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในนามภาคเอกชนไทยขอแสดงจุดยืนต่อสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีเหตุปะทะเกิดขึ้นเพิ่มเติมในช่วงที่ผ่านมา โดยภาคเอกชนไม่สนับสนุนให้เกิดความรุนแรง การเผชิญหน้า หรือสงครามในทุกรูปแบบ
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ไทยถูกละเมิดอธิปไตยและมีการกระทำที่ฝ่าฝืนข้อตกลงระหว่างประเทศหลายครั้ง ซึ่งไทยย่อมมีสิทธิและความจำเป็นในการปกป้องอธิปไตย ความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนตามหลักสากล
ทั้งนี้ หอการค้าไทยเห็นว่าสถานการณ์เช่นนี้ต้องแยกประเด็นด้านความมั่นคงออกจากประเด็นเศรษฐกิจ ซึ่งความมั่นคงประเทศและชีวิตประชาชนต้องมาก่อนเศรษฐกิจเป็นลำดับแรก แม้ภาคธุรกิจจะได้รับผลกระทบมาก โดยเฉพาะจากการปิดด่านการค้าชายแดนที่ยืดเยื้อมากกว่าครึ่งปี ซึ่งส่งผลต่อการค้าชายแดน การลงทุนและบั่นทอนความเชื่อมั่นนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
รวมทั้งภาคเอกชนเห็นว่าสถานการณ์ดังกล่าวต้องจัดการเด็ดขาด ชัดเจน และยุติโดยเร็ว เพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในเวทีนานาชาติ และทำให้ระบบเศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นคง ดันั้นหอการค้าไทยสนับสนุนรัฐบาลเร่งแก้ปัญหาให้จบเร็วและโดยสิ้นเชิง รวมถึงพิจารณามาตรการที่เหมาะสมและจำเป็นหากต้องดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ประเทศ
ขณะเดียวกันภาคเอกชนเห็นว่าการสื่อสารกับนานาชาติเป็นเรื่องสำคัญ โดยภาครัฐควรเร่งสื่อสารทำความเข้าใจและชี้แจงอย่างเป็นระบบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมิได้เกิดจากไทยเป็นฝ่ายเริ่มต้น แต่เป็นผลจากการละเมิดข้อตกลงและอธิปไตยไทยโดยกัมพูชาต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ลดความคลาดเคลื่อน และรักษาภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีโลก
“หอการค้าหวังว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะคลี่คลายลงเร็ว นำไปสู่ความสงบเรียบร้อย สันติภาพ และความมั่นคงของประเทศ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศไทยและประชาชนชาวไทยระยะยาว”
ส.อ.ท.จับตาผลกระทบเจรจาสหรัฐ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา นอกจากจะกระทบความปลอดภัยประชาชนยังกระทบเศรษฐกิจชายแดนและการใช้ชีวิตประชาชนในพื้นที่อย่างหนัก โดยกัมพูชาเป็นฝ่ายสร้างสถานการณ์และยั่วยุ โดยเฉพาะการทำที่ผิดต่อสนธิสัญญาออตตาวา โดยวางทุ่นระเบิดทำให้ทหารไทยต้องสูญเสีย
ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศได้นำเอาหลักฐานที่ชัดเจนไปชี้แจงล่าสุด โดยเฉพาะหลักฐานที่ได้จากโทรศัพท์มือถือที่ยึดได้จากทหารกัมพูชาในการรบรอบแรก โดยหลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดเจนว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายสร้างสถานการณ์ และบันทึกการสาธิตหรือโชว์การวางระเบิดไว้ในเครื่อง ทำให้ผู้แทนของกัมพูชาที่ร่วมประชุมแสดงความตกใจและพยายามคัดค้านไม่ให้นำเสนอ
ทั้งนี้ หลังจากการนำเสนอหลักฐานไม่กี่วันก็เกิดเหตุการณ์ที่กัมพูชายิงมาที่ฐานของไทยทำให้ทหารไทยบาดเจ็บ และปะทะด้วยปืนเล็ก รวมถึงปืนต่อต้านที่มีศักยภาพการทำลายที่รุนแรงขึ้นเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.2568 ด้วยเหตุนี้เช้าวันที่ 8 ธ.ค.2568 กองทัพอากาศส่งเครื่องบิน F16 ทิ้งระเบิดในจุดเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่เป็นจุดติดตั้งอาวุธที่เป็นภัยคุกคามต่อไทย
นายเกรียงไกร กล่าวว่า สถานการณ์ความขัดแย้งนี้กระทบเรื่องที่สหรัฐใช้เป็นเงื่อนไขผูกติดไว้ ซึ่งผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ส่งหนังสือถึงไทยเพื่อหยุดกระบวนการเจรจา ซึ่งเป็นสัญญาณว่าสหรัฐยังนำเรื่องนี้เป็นเงื่อนไขการเจรจา ดังนั้นไทยต้องชี้แจงและทำความเข้าใจกับสหรัฐ โดยยืนยันถึงหลักฐานที่ชัดเจนและคงต้องรอดูท่าทีสหรัฐ
ชี้ผลกระทบเศรษฐกิจ-ค้าชายแดน
สำหรับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่ชัดเจน คือ การอพยพชาวไทยออกนอกพื้นที่หลายแสนคนในหลายจังหวัดชายแดน เพื่อป้องกันความเสียหายต่อชีวิต ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจชายแดนเพิ่มขึ้น โดยมูลค่าการค้าชายแดนลดลงเหลือเพียง 0.5% เท่ากับการค้าหายไปถึง 99.5% เกือบเท่ากับการปิดด่านการค้าถาวร ซึ่งการปิดด่านที่ผ่านมากระทบการค้าต่อวัน 500 ล้านบาท
“การอพยพทำให้ชีวิตความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพหยุดชะงัก หลายอุตสาหกรรมหยุดลง เช่น ภาคการเกษตร รวมถึงโรงงานและโรงเรียนต้องหยุดเพื่อความปลอดภัย การค้าใน 3-4 จังหวัดได้รับผลกระทบ และหวังว่าไทยจะดำเนินการเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อไม่ให้สถานการณ์ยืดเยื้อ เพราะสิ่งที่กระทบเพิ่มขึ้นคือขวัญและกำลังใจประชาชนที่ต้องอพยพออกจากบ้านเรือน” นายเกรียงไกร กล่าว
ขัดแย้งกัมพูชาการทบทางอ้อม
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา มีผลกระทบทางตรงอาจไม่มากนัก หรือมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไม่มาก เพราะการส่งออกไทยไปกัมพูชามีสัดส่วนเพียง 2-3% ของการส่งออกรวม และ 70% ของมูลค่าดังกล่าวเป็นการค้าชายแดนที่ถูกปิดไปแล้ว
“ผลทางตรงน่าจะปรากฏในตัวเลขการค้าที่ผ่านมาแล้ว แต่ความสูญเสียและความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งยากที่จะประเมินขณะนี้”
ทั้งนี้ แม้ผลกระทบทางตรงอาจไม่มาก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผลกระทบทางอ้อม โดยสิ่งที่น่ากังวลมากกว่า คือ การซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย ภายใต้สิ่งที่ต้องเผชิญในปัจจุบันจากน้ำท่วมภาคใต้ ผนวกกับผลกระทบจากความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่เป็น 2 เรื่องในช่วงฤดูท่องเที่ยว ดังนั้น ประเด็นดังกล่าวอาจกระทบความสนใจการมาเที่ยวไทย รวมถึงภาพการลงทุนระยะข้างหน้าที่อาจชะลอออกเช่นกัน
“วันนี้ 2 เรื่อง ทั้งข้อพิพาทไทย-กัมพูชา และน้ำท่วมเป็นปัจจัยที่ประเมินตัวเลขได้ยาก โดยน้ำท่วมเบื้องต้นคาดผลกระทบอยู่ที่ 0.1-0.2% ของจีดีพี แม้ผลกระทบเศรษฐกิจไทยไม่มาก แต่ทางอ้อมกระทบต่อบรรยากาศการท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นประเทศ เป็นสิ่งที่ต้องจับตาดูหลังจากนี้”







