เจาะลึกหนี้ต่างประเทศ นัยต่อเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทย

หนี้ต่างประเทศมีบทบาทสำคัญต่อระบบการเงินไทย โดยช่วยเพิ่มทางเลือกในการระดมทุนและบริหารสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ ตลอดจนเป็นเครื่องชี้ที่ช่วยสะท้อนภาระผูกพันของภาครัฐจากการถือครองสินทรัพย์ทางการเงินของนักลงทุนต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี หากขาดการบริหารความเสี่ยงเหมาะสม การก่อหนี้ต่างประเทศที่เกินตัวอาจสะสมความเปราะบางและกระทบต่อเสถียรภาพด้านต่างประเทศในระยะต่อไป
อนึ่ง ในเดือนกันยายนเป็นช่วงเวลาที่ ธปท. ดำเนินการปรับปรุงสถิติย้อนหลังประจำปี (Annual Revision) เพื่อให้สอดคล้องกับผลสำรวจฐานะการลงทุนระหว่างประเทศ
บทความนี้จึงอาศัยฐานข้อมูลที่มีความสมบูรณ์ดังกล่าว มาฉายภาพพัฒนาการหนี้ต่างประเทศของไทยตั้งแต่ปี 2563 พร้อมประเมินความเสี่ยงเชิงโครงสร้างในรายภาคส่วน และวิเคราะห์นัยต่อเสถียรภาพด้านต่างประเทศ
ในภาพรวม ยอดคงค้างหนี้ต่างประเทศของไทยในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณร้อยละ 35 ต่อ GDP ซึ่งต่ำกว่าร้อยละ 66 ในช่วงวิกฤติปี 2540 อย่างมีนัยสำคัญ โดยในช่วงที่ผ่านมา หนี้ต่างประเทศขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 3 ต่อปี สาเหตุหลักมาจากการระดมทุนของ
1) ภาคธุรกิจ (Non-financial corporations: NFCs) เพื่อเสริมสภาพคล่องในช่วงวิกฤตและรองรับธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ และ 2) สถาบันการเงินที่ไม่รับฝากเงิน (Other non-depository financial corporations: OFCs) ผ่านการออกตราสารหนี้และการกู้ยืมในต่างประเทศ ส่วนหนึ่งเพื่อใช้ลงทุนโดยตรงและบริหารสภาพคล่อง
เมื่อพิจารณารายภาคส่วน พบประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับนัยต่อเสถียรภาพด้านต่างประเทศในแต่ละกลุ่มผู้กู้ ดังนี้
1.ภาคธุรกิจ (NFCs) เป็นลูกหนี้กลุ่มที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็นเกือบกึ่งหนึ่งของหนี้ต่างประเทศทั้งหมด ยิ่งกว่านั้น สัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 60 หากพิจารณาเฉพาะหนี้ระยะสั้น ทำให้หนี้ระยะสั้นเป็นความเสี่ยงสำคัญของภาคเอกชน จากการถูกเรียกคืนหนี้ โดยเฉพาะในช่วงวัฏจักรเศรษฐกิจขาลง
เช่น สถานการณ์โควิดแพร่ระบาดปี 2563 ซึ่งรายได้ภาคธุรกิจหดตัวอย่างรุนแรง ทำให้ภาคธุรกิจจำเป็นต้องกู้เงินระยะสั้นจากต่างประเทศมาเสริมสภาพคล่องกว่า 5.8 พันล้านดอลลาร์ จากการกู้เงินระยะสั้นของกิจการในภาคค้าปลีกเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ดี ในปี 2567 การเพิ่มขึ้นของหนี้ต่างประเทศของภาคธุรกิจไม่น่ากังวลมากนัก เนื่องจากเป็นการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อการค้า (trade credit) มูลค่า 4.3 พันล้านดอลลาร์เป็นสำคัญ ตามมูลค่าการนำเข้าสินค้าและความเชื่อมโยงในห่วงโซ่อุปทานที่เพิ่มขึ้น
2.สถาบันการเงินที่ไม่รับฝากเงิน (OFCs) หนี้ต่างประเทศของ OFCs เป็นประเด็นที่ควรติดตาม เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะสั้น และทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 ตามการออกตราสารหนี้ระยะสั้นในต่างประเทศ อาทิ ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ของธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่งของไทย เพื่อนำเงินทุนดังกล่าวกลับมาปล่อยสินเชื่อในประเทศ
ทั้งนี้ ธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่งมีความเชื่อมโยงกับตลาดรถยนต์ในประเทศและกำลังซื้อของภาคครัวเรือนค่อนข้างมาก
หากคุณภาพสินเชื่อด้อยลงอาจกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ต่างประเทศ และสร้างแรงกดดันต่อฐานะทางการเงินของ OFCs ได้ในบางช่วงเวลา อย่างไรก็ดี ในปี 2568 การระดมทุนผ่านการออกตราสารหนี้ในต่างประเทศของกลุ่ม OFCs มีสัญญาณชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า ส่งผลให้ความเสี่ยงจากหนี้ระยะสั้นของ OFCs โดยรวมยังอยู่ในระดับจำกัด
3.รัฐบาล ธนาคารกลาง และธนาคารพาณิชย์ โดยรวมยังไม่น่ากังวลมากนัก เนื่องจากหนี้ต่างประเทศของรัฐบาลไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย และส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะยาวและเป็นหนี้สกุลเงินบาท โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลที่นักลงทุนต่างชาติถือครอง
สำหรับหนี้ต่างประเทศของธนาคารแห่งประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นการจัดสรรสิทธิพิเศษถอนเงิน (Special Drawing Rights: SDR) จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งบันทึกเป็นหนี้ตามมาตรฐานบัญชีสากล
อย่างไรก็ดี SDR เป็นเครื่องมือเสริมสภาพคล่องในระดับประเทศ และมีความเสี่ยงต่ำ ขณะที่แนวโน้มการพึ่งพาเงินกู้ต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ยังโน้มลงต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยหดตัวร้อยละ 3 ต่อปีตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งสะท้อนกระบวนการลดระดับหนี้ (deleveraging) และการบริหารสภาพคล่องให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ
๐ เสถียรภาพด้านต่างประเทศในภาพรวม
หากพิจารณาเสถียรภาพต่างประเทศจากมุมมองมหภาค ตามเครื่องชี้ของ International Monetary Fund (IMF) พบว่าเศรษฐกิจไทยยังมีเสถียรภาพด้านต่างประเทศที่เข้มแข็ง สะท้อนจากระดับเงินสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง โดยสูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้น 3 เท่า ซึ่งเพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงจากเงินทุนไหลออกหากเกิดความผันผวนในตลาดการเงินโลก และความเสี่ยงยังจำกัด โดยเฉพาะ
(1) ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Foreign exchange risk) อยู่ในระดับจำกัด เนื่องจากราว1 ใน 3 ของหนี้ต่างประเทศเป็นหนี้สกุลเงินบาท และ 1 ใน 4 ของหนี้ต่างประเทศระยะสั้นเป็นหนี้สกุลเงินบาท
นอกจากนี้ หนี้ภาคธุรกิจส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการลงทุนและดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ ทำให้มีกระแสรายได้สกุลเงินตราต่างประเทศที่สอดคล้องกับภาระหนี้ (Natural hedge) ควบคู่กับการใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX hedging)
(อ้างอิง กิตตินันท์ เหล่าสุวรรณรัตน์ และมินทราพรรณ แจ้งหลำ. (2567, 25 มีนาคม). หนี้ต่างประเทศของไทยน่ากังวลหรือไม่: เจาะลึกข้อมูลรายธุรกิจ (Firm level analysis). Economic Pulse, (3). ธนาคารแห่งประเทศไทย.)
(2) ความเสี่ยงจากการถูกเรียกคืนหนี้หรือการต่ออายุสัญญา (Rollover risk) ในระยะสั้นมีจำกัด เนื่องจากหนี้ต่างประเทศส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 60 เป็นหนี้ระยะยาว
โดยสรุป ประเทศไทยยังมีเสถียรภาพด้านต่างประเทศโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่ยังต้องจับตาหนี้ระยะสั้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งกระจุกตัวในภาคเอกชนและสถาบันการเงินที่ไม่รับฝากเงิน
อย่างไรก็ดี การรักษาเสถียรภาพด้านต่างประเทศไม่ได้ขึ้นกับระดับหนี้เพียงอย่างเดียว แต่ควรส่งเสริมให้ภาคเอกชนบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและสภาพคล่อง เพื่อให้การก่อหนี้ต่างประเทศไม่สะสมเป็นความเปราะบางต่อเสถียรภาพในระยะยาว
บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด







