OECD ชี้ 4 แนวทางปฏิรูปเศรษฐกิจไทย สู่เป้าหมายประเทศรายได้สูง

OECD เปิดรายงานเศรษฐกิจไทยปี 2025 แนะ 4 แนวทาง เร่งเครื่องปฏิรูปโครงสร้างหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง พร้อมเผชิญความท้าทายสังคมสูงวัย
วันที่ 8 ธ.ค.2568 องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้แถลงเปิดตัวรายงาน "OECD Economic Surveys: Thailand 2025" รายงานการสำรวจเศรษฐกิจไทยฉบับล่าสุดปี ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะรายงานฉบับแรกนับตั้งแต่ประเทศไทยได้รับสถานะเป็นประเทศผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิก OECD อย่างเป็นทางการ โดยรายงานฉบับดังกล่าวได้ฉายภาพความท้าทายเชิงโครงสร้างที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญ
ดร.ฟรันติเชค รูซิกคา รองเลขาธิการ OECD เปิดเผยว่า การเข้าเป็นสมาชิก OECD ถือเป็นการเดินทางแห่งการเปลี่ยนแปลงที่จะช่วยให้ไทยยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่สู่การเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2037 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเผชิญกับภาวะผลิตภาพที่ชะลอตัว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการปฏิรูป
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยคาดการณ์ว่าจะเติบโต 2.0% ในปี 2025 ก่อนจะชะลอตัวลงเหลือ 1.5% ในปี 2026 และจะกลับมาฟื้นตัวขึ้นเป็น 2.6% ในปี 2027 เมื่อผลกระทบจากภาษีการค้าเริ่มอยู่ตัวและการบริโภคในประเทศและส่งออกกลับมาแข็งแกร่ง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย 1-3% ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเปิดโอกาสให้สามารถดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายได้หากจำเป็น
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่น่ากังวลที่สุดคือหนี้ภาคเอกชนที่อยู่ในระดับสูงโดยหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจรวมกันสูงถึงประมาณ 160% ของ GDP ซึ่งเป็นระดับที่สูงใกล้เคียงกับมาเลเซีย ประมาณ 157% และสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย 40% อย่างมีนัยสำคัญ
ดร.รูซิกคา กล่าวว่า ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายออกเป็น 4 เสาหลัก เพื่อเป็นแนวทางให้ประเทศไทยสามารถสร้างรากฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและรับมือกับความท้าทายในอนาคต ประกอบด้วย
1.การปรับปรุงสถานะทางการคลัง ปัจจุบันหนี้สาธารณะของไทยได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 65% ของ GDP ซึ่งเข้าใกล้เพดานหนี้ที่ 70% ประกอบกับแรงกดดันด้านรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ในขณะที่รายได้จากภาษีของไทยยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 17% ของ GDP เทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศ OECD ที่ 34%
ดังนั้น OECD จึงเสนอแนะให้มีการปฏิรูปการคลังอย่างจริงจัง เช่น การพิจารณาเพิ่มอายุเกษียณเพื่อยืดระยะเวลาการส่งเงินสมทบและลดภาระทางการคลัง ควบคู่ไปกับการขยายฐานภาษีดึงคนเข้าสู่ระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามากขึ้น และการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับภาครัฐ
2.การเร่งเพิ่มผลิตภาพการผลิตและปฏิรูปกฎระเบียบ การเติบโตของผลิตภาพแรงงานของไทยชะลอตัวลงอย่างน่าเป็นห่วง จากค่าเฉลี่ย 4.8% ต่อปีในช่วงปี 2010-2015 เหลือเพียง 2.1% ในช่วงปี 2015-2023
โดย OECD เสนอให้มีการปฏิรูปกฎระเบียบที่ยังไม่เอื้อต่อการแข่งขัน การลดข้อจำกัดด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งปัจจุบันยังมีกฎระเบียบที่เข้มงวดกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD อย่างมาก โดยไทยมีความเข้มงวดด้านกฎระเบียบเป็นอันดับ 4 จาก 47 ประเทศที่ทำการสำรวจ
นอกจากนั้น การสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกันระหว่างรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชน เพื่อกระตุ้นให้เกิดพลวัตและการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจ
3.การจัดการปัญหาแรงงานนอกระบบ เนื่องจากปัญหาแรงงานนอกระบบยังคงเป็นความท้าทายสำคัญของไทย โดยมีสัดส่วนสูงถึง 63% ของแรงงานทั้งหมด ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลิตภาพโดยรวมและการเข้าถึงสวัสดิการสังคม OECD ชี้ว่าแนวทางการแก้ไขที่ยั่งยืนคือการยกระดับการศึกษาและทักษะแรงงาน
โดยเสนอให้มีการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนให้ทันสมัย สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และการส่งเสริมการฝึกอบรมวิชาชีพหรืออาชีวศึกษาให้มีคุณภาพสูงขึ้น เพื่อเป็นเส้นทางสู่การจ้างงานในระบบที่มีทักษะและค่าตอบแทนที่ดีขึ้น
4.การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยภัยพิบัติทางธรรมชาติคาดว่าจะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่าเฉลี่ยเกือบ 0.7% ของ GDP ต่อปี จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ไทยจะต้องมีการพัฒนาระบบเตือนภัยและการจัดการภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อสภาพอากาศ และการเร่งลดการปล่อยคาร์บอนในภาคพลังงาน
ทั้งนี้ เป้าหมายใหม่ของรัฐบาลไทยในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Net Zero) ภายในปี 2050 ถือเป็นเป้าหมายที่น่าชื่อชม ซึ่งจะผลักดันไทยเกิดการเปลี่ยนผ่านที่เร็วขึ้นจากเป้าหมายเดิมในปี 2065







