MONEY AND STOCK MARKET REVIEW วันที่ 1-4 ธันวาคม 2568

MONEY AND STOCK MARKET REVIEW วันที่ 1-4 ธันวาคม 2568

เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 2 เดือน ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นจากสัปดาห์ก่อน

สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท

• เงินบาทพลิกแข็งค่าหลุดแนว 32.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในระหว่างสัปดาห์ ท่ามกลางการคาดการณ์เรื่องเฟดลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. นี้

เงินบาทแข็งค่าผ่านแนวสำคัญ 32.20 และ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในระหว่างสัปดาห์ไปแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 2 เดือนที่ 31.855 บาทต่อดอลลาร์ฯ (แข็งค่าสุดนับตั้งแต่ 24 ก.ย.) สอดคล้องกับการแข็งค่าของสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย นำโดย เงินเยนซึ่งมีแรงหนุนจากการคาดการณ์ถึงโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ ซึ่งสวนทางกับแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟด

นอกจากนี้เงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาอ่อนแอกว่าที่ตลาดคาด โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP และดัชนี PMI ภาคบริการที่ปรับตัวลงมากกว่าที่ตลาดคาดในเดือนพ.ย. ซึ่งยิ่งตอกย้ำมุมมองของตลาดที่ให้น้ำหนักความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC ในสัปดาห์หน้าวันที่ 9-10 ธ.ค. นี้

MONEY AND STOCK MARKET REVIEW วันที่ 1-4 ธันวาคม 2568

อย่างไรก็ดี เงินบาทลดช่วงบวกลงบางส่วน และอ่อนค่ากลับมาเล็กน้อยก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวของตลาดในประเทศ ประกอบกับตลาดกลับมารอติดตามการประชุมเฟดสัปดาห์หน้า และรายละเอียดหลังมีรายงานข่าวระบุว่า ธปท. และกระทรวงการคลังกำลังอยู่ระหว่างการหารือร่วมกันในการแก้ประกาศเพื่อให้ร้านทองรายงานธุรกรรม

• ในวันพฤหัสบดีที่ 4 ธ.ค. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 32.02 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 32.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (28 พ.ย.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 1-4 ธ.ค. 2568 นั้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 3,632 ล้านบาท แต่มีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 1,700 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 540 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 1,160 ล้านบาท)

• สัปดาห์ระหว่างวันที่ 8-12 ธ.ค. 2568 ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 31.80-32.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมและ Dot Plot ของเฟด ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ สถานการณ์ค่าเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อคาดการณ์ในมุมมองผู้บริโภคเดือนพ.ย. ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงานเดือนก.ย. รวมถึงตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนและจานวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ ตลาดอาจรอติดตามข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน อาทิ ตัวเลขการส่งออก ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตด้วยเช่นกัน

สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย

• ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นท่ามกลางแรงซื้อของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์

SET Index ดีดตัวขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ตามแรงซื้อของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ หลังสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้เริ่มคลี่คลายและรัฐบาลเร่งออกมาตรการช่วยเหลือ ส่งผลให้มีแรงซื้อหุ้นบิ๊กแคป นำโดย กลุ่มแบงก์ เทคโนโลยีและพลังงาน

ซึ่งได้รับอานิสงส์เพิ่มเติมจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นหลังโอเปคพลัสมีมติไม่เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในไตรมาส 1/2569 นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของทั้งสหรัฐฯ และไทยในรอบการประชุมเดือนธ.ค. นี้

MONEY AND STOCK MARKET REVIEW วันที่ 1-4 ธันวาคม 2568

อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบแคบในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ เนื่องจากไร้ปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นตลาด ขณะที่นักลงทุนกลับมารอติดตามผลการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า ประกอบกับช่วงปลายสัปดาห์จะเข้าสู่ช่วงหยุดยาวของตลาดในประเทศ

• ในวันพฤหัสบดีที่ 4 ธ.ค. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,273.77 จุด เพิ่มขึ้น 1.36% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 35,948.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.74% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.87% มาปิดที่ระดับ 216.19 จุด

• สัปดาห์ถัดไป (8-12 ธ.ค. 68) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,250 และ 1,230 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,285 และ 1,305 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมเฟด (9-10 ธ.ค.) และทิศทางเงินทุนต่างชาติ

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนต.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2568 และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค. ของญี่ปุ่น ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน อาทิ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต และตัวเลขส่งออก