‘ซีพีเอฟ-ปตท. - อีเอ’ ชูลดคาร์บอน ดันอุตฯ ไทยเดินสู่เป้าหมายยั่งยืน

‘ซีพีเอฟ-ปตท. - อีเอ’ ชูลดคาร์บอน ดันอุตฯ ไทยเดินสู่เป้าหมายยั่งยืน

"ซีพีเอฟ" โชว์ความยั่งยืนกว่า 900 ผลิตภัณฑ์ ติดฉลากโลว์คาร์บอนต่ำ ทะยานสู่เน็ต ซีโร่ ชี้ความยั่งยืนเป็นเรื่องที่ต้องทำไม่ใช่ภาระ ด้าน "ปตท." ชู "Big Move get More with CCS" เร่งปลดล็อกกฎหมายมาตรการจูงใจ "อีเอ" พร้อมหนุนไทยเดินสู่เป้าเน็ต ซีโร่ หวังรัฐหนุนดันกฎหมายเดินไปในทิศทางเดียวกัน

KEY

POINTS

  • ซีพีเอฟกำหนดเป้าหมายสู่ Net Zero ภายในปี 2050 ผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ การใช้พลังงานอย่างยั่งยืน, การดำเนินงานที่ยั่งยืน, เกษตรกรรมที่ยั่งยืน, และการจัดหาวัตถุดิบ และการบริโภคที่ยั่งยืน 
  • ไทยปล่อยคาร์บอน 390 ล้านตันต่อปี หากจะบรรลุ Net Zeroปี 2050 ต้องกักเก็บคาร์บอนประมาณ 60 ล้านตัน หรือประมาณ 15% ของปริมาณการปล่อย และต้องลด110 ล้านตันปี 2035
  • EA มุ่งมั่นเป็นบริษัทเทคโนโลยีสีเขียว และเป็นผู้บุกเบิกการเปลี่ยนถ่ายด้านพลังงาน และการขนส่งของประเทศ เชื่อมั่นว่าไทยมีศักยภาพ และสามารถบรรลุเป้าหมายลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ในอนาคต

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยในงานสัมมนา sustainability Forum 2026 ซึ่งจัดโดย “กรุงเทพธุรกิจ” ระหว่างวันที่ 3-4 ธันวาคม 2568 ภายใต้ธีม Shift Forward: Overcoming Challenges ที่สามย่านมิตรทาวน์

นายประสิทธิ์ กล่าวว่า  เนื่องจากซีพีเอฟ เป็นองค์กรภาคการผลิต ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืนโดยไม่ได้มองเป็นภาระ แต่มองเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการ เนื่องจากจะเป็นประโยชน์ทั้งกับองค์กร สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่ยั่งยืน

ซีพีเอฟจึงกำหนดเป้าหมายสู่ Net Zero ภายในปี 2050 ผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ การใช้พลังงานอย่างยั่งยืน, การดำเนินงานที่ยั่งยืน, เกษตรกรรมที่ยั่งยืน, และการจัดหาวัตถุดิบ และการบริโภคที่ยั่งยืน โดยมีแผนงานชัดเจน เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2030, ลดของเสียให้เป็นศูนย์ภายในปี 2030 และบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างรับผิดชอบ

“การจัดการเรื่อง Net Zero เป็นเรื่องใหญ่มากเพราะซีพีเอฟ มีบริษัทลงทุนอยู่ถึง 17 ประเทศ และส่งออก 50 ประเทศทั่วโลก การทำให้ถึงเป้าหมาย จำเป็นต้องใช้ทั้ง AI บล็อกเชน การสร้างพลังงานจากฟาร์ม และสร้างความเข้าใจกับพนักงานรวมไปถึงคู่ค้า และต้องทำให้เหมือนกันทั้ง 17 ประเทศที่เราไปลงทุน โดยใช้ฐานผลิตที่ไทย และเวียดนามเป็นโมเดลหลัก”

ทั้งนี้ กลยุทธ์หลักสู่ Net Zero 2050 ซีพีเอฟกำหนดให้ใช้พลังงานอย่างยั่งยืน เน้นการอนุรักษ์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน รวมถึงใช้พลังงานทางเลือก และพลังงานหมุนเวียน การดำเนินงานที่ยั่งยืน มุ่งเน้นใช้ทรัพยากรในกระบวนการผลิตและขนส่ง รวมถึงลดของเสียไปสู่หลุมฝังกลบเป็นศูนย์ภายในปี 2030 และจัดการระบบทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

‘ซีพีเอฟ-ปตท. - อีเอ’ ชูลดคาร์บอน ดันอุตฯ ไทยเดินสู่เป้าหมายยั่งยืน

เกษตรกรรมที่ยั่งยืน นำเทคโนโลยี และนวัตกรรมมาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิต ลดปล่อย และเพิ่มกักเก็บก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรกรรม รวมถึงการผลิตพลังงานหมุนเวียนจากของเสียทางการเกษตร และจัดหาวัตถุดิบ และการบริโภคที่ยั่งยืน เช่น ข้าวโพด และถั่วเหลือง มาจากแหล่งที่ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่าภายในปี 2030 และ 2573 รวมถึงการผลิตสินค้า และบริการที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเมื่อผู้บริโภคใช้งาน

ปัจจุบันซีพีเอฟ ก้าวสู่เป้าหมายได้เร็วกว่าที่คาดโดยการจัดหาวัตถุดิบ ใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับ ครอบคลุมพื้นที่ปลูกข้าวโพดในไทยกว่า 2 ล้านไร่ พร้อมแอป F-Farm ที่เกษตรกรกว่า 2 หมื่นรายต้องระบุพิกัดแปลงปลูก และใช้ดาวเทียมตรวจสอบการเผาไร่ ด้านพลังงานสะอาด

 ปัจจุบันพลังงานที่ใช้ในโรงงานมาจากพลังงานหมุนเวียน ลดต้นทุนปีละกว่า 500 ล้านบาท และลดก๊าซเรือนกระจก 700,000 ตันคาร์บอนต่อปี ซีพีเอฟ เลิกใช้ถ่านหิน แล้วใน 13 จาก 17 ประเทศที่บริษัทเข้าไปลงทุน และตั้งเป้ายกเลิกทั้งหมดในปี 2030 ปัจจุบันดำเนินการได้ประมาณ 87% ระบบโลจิสติกส์ มีแผนระยะยาวให้ยานพาหนะทั้งหมดของบริษัทเปลี่ยนเป็นรถยนต์ไฟฟ้า การสื่อสารในองค์กรให้พนักงานทั่วโลก CPF รับรู้ เข้าใจ ลงมือทำตามแผน Net Zero ร่วมกัน

นอกจากนี้ ซีพีเอฟมีคู่ค้า SME รายย่อยจำนวนมากกว่า5,500 ราย ทั้งขนาด เล็กกลาง และใหญ่ ซึ่งผู้ค้าเหล่านี้เป็นกลุ่มผลิตวัตถุดิบป้อนให้กับซีพีเอฟ จึงมีขบวนการความยั่งยืนเพื่อสร้างให้กับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

‘ซีพีเอฟ-ปตท. - อีเอ’ ชูลดคาร์บอน ดันอุตฯ ไทยเดินสู่เป้าหมายยั่งยืน

ปตท.ชูระบบดักจับคาร์บอนกุญแจสำคัญ

นายรัฐกร กัมปนาทแสนยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ความยั่งยืนองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อ “Big Move get More with CCS” ว่าประชาคมโลกให้คำมั่นว่าจะควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส จากยุคก่อนอุตสาหกรรม ปัจจุบันอุณหภูมิเฉลี่ยโลกอยู่ที่ 1.42 องศาเซลเซียส แม้ยังไม่ถึง 1.5 องศา แต่โลกกำลังเผชิญกับภัยพิบัติอย่างมากมายการเตรียมพร้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญ

การเดินหน้า Decarbonization ต้องรอบคอบลงทุน หากเร็วไปอาจทำให้มีต้นทุนสูงกว่าคู่แข่ง และเสียเปรียบหากเดินหน้าช้าเกินไปอาจเสียโอกาส ธนาคารโลกประเมินว่าไทยอาจเสียมูลค่าส่งออกมากกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์ หรือ GDP อาจลดลงกว่า 7%

“ภาคพลังงานเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่ปล่อยคาร์บอนมากที่สุด ในการพูดถึงพลังงาน ต้องคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก คือ1. ความมั่นคงทางพลังงาน 2. ราคาที่เข้าถึงได้ และเหมาะสม และ 3. พลังงานที่สะอาด”

โอกาสทางธุรกิจ และเป้าหมายของไทย

ปัจจุบันโลกปล่อยคาร์บอน 53,000 ล้านตันต่อปี เพื่อให้โลกเข้าสู่ Net Zeroปี 2050 ประเมินว่าCCS จะต้องกักเก็บ10% หรือ 4,500 ล้านตัน แต่วันนี้มีแผนลงทุนเพียง 10% ของความต้องการนี้ ราว 400 ล้านตัน และที่ดำเนินการอยู่จริงไม่ถึง 2% ราว 50 ล้านตัน ถือเป็นโอกาสธุรกิจ

“ไทยปล่อยคาร์บอน 390 ล้านตันต่อปี หากจะบรรลุ Net Zero ปี 2050 ต้องกักเก็บคาร์บอนประมาณ 60 ล้านตัน หรือประมาณ 15% ของปริมาณการปล่อย และต้องลด 110 ล้านตันปี 2035”

เพื่อให้ไทยบรรลุเป้าหมาย NDC 3.0 ภายในปี 2035 จำเป็นต้องมีโครงการ CCS สำคัญ 2 โครงการ คือ 1. โครงการ CCS อาทิตย์เป็นโครงการนำร่องของกลุ่ม ปตท.ขนาด 1 ล้านตันต่อปี 2.โครงการ Eastern Thailand CCS Hub (CCS Hub)ขนาด 9 ล้านตันต่อปี จะไปดักจับคาร์บอนจากโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ Eastern Seaboard ใน EEC

“การทำ CCS ของกลุ่ม ปตท. จะเริ่มจาก 1 ล้านตัน และจะเพิ่มเป็น 10 ล้านตัน (รวม CCS Hub) จากนั้นจะเพิ่มเป็น 19 ล้านตัน และขยับไปถึง 60 ล้านตัน ภายในปี 2050 เพื่อนำพาประเทศไปสู่เป้าหมาย Net Zero”

ดังนั้น กลุ่ม ปตท. ได้สรุป “Key Success Factor” CCS ไว้ 3 ด้าน คือ 1. ลดต้นทุนเทคโนโลยี 2. โมเดลธุรกิจที่แข่งขันได้และ 3.กฎระเบียบมาตรการจูงใจทางการเงิน ทั้งนี้ CCS สร้างผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจ อาทิ สร้างงานอีกกว่า 10,000 ตำแหน่ง สร้างมูลค่าเพิ่มเศรษฐกิจไทยอีก 18,000 ล้านบาทต่อปี มูลค่านี้จะเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า เมื่อกำลังการผลิต CCS ขยับไปถึง 60 ล้านตัน

‘ซีพีเอฟ-ปตท. - อีเอ’ ชูลดคาร์บอน ดันอุตฯ ไทยเดินสู่เป้าหมายยั่งยืน

“EA” ย้ำความเป็นผู้นำ “กรีนเทคคอมพานี" 

นายฉัตรพล ศรีประทุม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) sinv EA กล่าวในหัวข้อ Sustainable Business Practices ว่า กลุ่มบริษัท EA มุ่งมั่นเป็นบริษัทเทคโนโลยีสีเขียว (Green Technology Company) และเป็นผู้บุกเบิกการเปลี่ยนถ่ายด้านพลังงาน และการขนส่งของประเทศ เชื่อมั่นว่าไทยมีศักยภาพ และสามารถบรรลุเป้าหมายลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ในอนาคต แต่สิ่งสำคัญ คือ การสนับสนุนจากภาครัฐ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องต้องเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน

ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจ EA ดำเนินงานภายใต้ 3 กลุ่มหลักที่สนับสนุนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้แก่ 1.กลุ่มเชื้อเพลิงชีวภาพ และเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน EA และพันธมิตร เช่น บริษัทในกลุ่ม ปตท. และบางจาก สามารถผลิตน้ำมันอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel - SAF) และกรีนดีเซลได้ สอดคล้องข้อตกลงปารีส ที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในธุรกิจการบิน

2. กลุ่มพลังงานสะอาดโดย EA ริเริ่มธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์) และพลังงานลมมานานกว่า 10 ปี โดยใช้เทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าพลังงานลมแบบ Class 3 ที่มีความเร็วต่ำ ซึ่งเหมาะกับสภาพภูมิประเทศของไทย

“ประเทศไทยเหมาะสมที่สุดในการพัฒนาพลังงานสะอาด มีระบบสายส่งที่แข็งแรงที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตาม เพื่อเร่งเปลี่ยนถ่ายต้องมีนโยบาย และกฎหมายจากกระทรวงพลังงาน และ กกพ.เปิดโอกาสให้มีการขายไฟฟ้าเสรีมากยิ่งขึ้น” นายฉัตรพล กล่าว

3.กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ กลุ่มธุรกิจ EV ของ EA เน้นที่รถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ มีระบบนิเวศ ครบวงจร ตั้งแต่การผลิตแบตเตอรี่ โรงประกอบรถเชิงพาณิชย์ โดยขนาดอาจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสถานีชาร์จภายใต้แนวคิด Any ware และบริษัทเดินรถในกลุ่ม เช่น Thai Smile Bus

ส่วนสถานีชาร์จ นำเอาเทคโนโลยี Fast Charge ยังมีช่องว่างให้พัฒนาโดยปัญหาเรื่องเวลาในการชาร์จที่เป็นจุดอ่อนของรถ EV เชิงพาณิชย์ ซึ่งจุดอ่อนนี้ถูกแก้ไขโดยเทคโนโลยีที่ EA พัฒนาร่วมกับพันธมิตรจากไต้หวัน และจีน การเปลี่ยนมาใช้ EV เชิงพาณิชย์ ยังช่วยสร้างคาร์บอนเครดิตให้ผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์ ทำให้สามารถรับงานจากบริษัทใหญ่ที่ต้องตรวจสอบคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ง่ายขึ้น 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์