อุตฯ อ้อยและน้ำตาลไทย มุ่ง ‘Smart Value Chain’ ชูจุดแข็งพืชดูดซับคาร์บอน-ต่อยอดพลังงานสะอาด

อุตฯ อ้อยและน้ำตาลไทย มุ่ง ‘Smart Value Chain’ ชูจุดแข็งพืชดูดซับคาร์บอน-ต่อยอดพลังงานสะอาด

อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลไทย พลิกโฉมสู่ ‘Smart Value Chain’ ชูจุดแข็งพืชดูดซับคาร์บอน-ต่อยอดพลังงานสะอาด ดันไทยสู่ผู้นำเศรษฐกิจชีวภาพ

กรุงเทพธุรกิจเปิดเสวนาหัวข้อ “Sugarcane’s Future: Smart Value Chain Innovation for Sustainable Growth” ภายในงานสัมมนาSustainability Forum 2026 Shift Forward: Overcoming Challengesเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2568 ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์

โดยมีตัวแทนภาครัฐและเอกชนได้ร่วมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลไทยสู่ความยั่งยืน และชี้มุมมองศักยภาพอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลไทย ที่ไม่ได้เป็นเพียงตัวร้ายของฝุ่น PM2.5 แต่ยังเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่มีคุณค่าทั้งในแง่พลังงานทดแทนตัวกักเก็บคาร์บอน

ชู “อ้อย” พืชดูดซับคาร์บอน

นายณัฐพล อัษฎาธรกรรมการ บริษัท ไทยชูการ์ มิลเลอร์ จำกัด (TSMC) กล่าวว่า อ้อยไม่ได้เป็นเพียงวัตถุดิบผลิตอาหาร แต่เป็นพืชที่มีประสิทธิภาพสูงในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ โดยปริมาณการผลิตอ้อย 95 ล้านตัน สามารถดูดซับคาร์บอนได้ถึง 67 ล้านตัน ซึ่งคาร์บอนเหล่านี้จะถูกกักเก็บไว้ในลำต้น ใบ และราก

นายณัฐพล กล่าวอธิบายว่า คาร์บอนในต้นอ้อยนั้นเป็น “New Carbon” ซึ่งแตกต่างจากคาร์บอนในเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เป็น “Old Carbon” โดยสิ้นเชิง ซึ่งอ้อบเป็นคาร์บอนที่เกิดโดยพืช และไซเคิลสั้นเพียง 1 ปี เมื่ออ้อยดูดซับคาร์บอนเข้ามา เมื่อถูกนำไปใช้เป็นพลังงานและปล่อยกลับสู่บรรยากาศ ก็จะถูกอ้อยรุ่นต่อไปดูดซับกลับเข้ามาใหม่ กลายเป็นวัฏจักรหมุนเวียนระยะสั้นที่ไม่สร้างภาระคาร์บอนสะสมในระยะยาว

อุตฯ อ้อยและน้ำตาลไทย มุ่ง ‘Smart Value Chain’ ชูจุดแข็งพืชดูดซับคาร์บอน-ต่อยอดพลังงานสะอาด

โดยชานอ้อย (Bagasse) ที่เหลือจากการผลิตน้ำตาลกว่า 26 ล้านตัน หากปล่อยทิ้งไว้จะเกิดก๊าซมีเทนซึ่ง แต่เมื่อนำมาผลิตไฟฟ้าชีวมวล จะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง 10 ล้านเมกะวัตต์ ทดแทนการนำเข้า LPG ได้ถึง 1.4 ล้านตัน ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลจากต่างประเทศและเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของชาติโดยตรงและยังมีความมั่นคงทางพลังงานมากกว่าพลังงานทดแทนอื่นๆ อีกด้วย

“อ้อยคือนิยามของคาร์บอนต่ำ (Low Carbon) จริงๆ แล้วอ้อยดูดซับคาร์บอนเข้ามา ถ้าเราจัดการดีๆ อุตสาหกรรมน้ำตาลสามารถดึงคาร์บอนไปใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจและช่วยสิ่งแวดล้อมได้”

นายณัฐพล กล่าวต่อว่า สิ่งสำคัญคือการแก้ปัญหาการเผาอ้อย ซึ่งปัจจุบันภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันลดการเผาอย่างจริงจัง โดยใช้เครื่องจักรและมาตรการส่งเสริมการตัดอ้อยสด นอกจากนี้ยังเสนอให้รัฐบาลสนับสนุนการใช้ใบอ้อยที่เหลืออีกกว่า 9.5 ล้านตันมาผลิตไฟฟ้าแทนการเผาทิ้ง ซึ่งจะช่วยลดฝุ่น PM2.5 ได้อย่างมีนัยสำคัญ

อุตฯ อ้อยและน้ำตาลไทย มุ่ง ‘Smart Value Chain’ ชูจุดแข็งพืชดูดซับคาร์บอน-ต่อยอดพลังงานสะอาด

ดันเอทานอลสู่ Bio-Economy

นายพิพัฒน์ สุทธิวิเศษศักดิ์นายกกิติมศักดิ์ สมาคมการค้าผู้ผลิตเอทานอลไทย กล่าวว่าไทยมีศักยภาพในการผลิตและใช้เอทานอลได้มากกว่าปัจจุบันถึงเท่าตัว ซึ่งหากใช้เต็มศักยภาพจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึงปีละ 3 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ปัจจุบันการใช้งานกลับถดถอยลงจาก 1,600 ล้านลิตร เหลือ 1,200 ล้านลิตร เนื่องจากนโยบายจากภาครัฐที่ไม่ต่อเนื่อง

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า เอทานอลไทยมีการใช้งานมายาวนานและพิสูจน์แล้วทางวิทยาศาสตร์ว่าปลอดภัยต่อเครื่องยนต์ทุกประเภท ซึ่งปัจจัยที่จะขับเคลื่อนการใช้เอทานอลให้เกิดขึ้นได้นั้น ส่วนสำคัญคือรัฐบาลต้องกำหนดนโยบายบังคับใช้ (Mandate) การผสมเอทานอลในน้ำมันเบนซินอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง เช่นเดียวกับที่บราซิลบังคับใช้ E27 หรือสหรัฐอเมริกาที่ใช้ E10 เป็นมาตรฐาน เพื่อสร้างตลาดและห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคง 

นอกจากนี้ ศักยภาพของเอทานอลยังสามารถต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคตได้อีกมากไม่ได้จำกัดอยู่แค่รถยนต์ แต่กำลังขยายไปสู่ภาคการขนส่งทางอากาศในรูปแบบเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) และภาคการขนส่งทางเรือที่กำลังจะเปลี่ยนไปใช้ Green Methanol หรือ Bio-ethanol ตามกฎระเบียบใหม่ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO)

นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรมต่อยอดสู่ปิโตรเคมีชีวภาพ (Bio-based Chemical) เช่น การเปลี่ยนเอทานอลเป็นพลาสติกชีวภาพ (Bio-PE) ซึ่งสามารถนำไปผสมกับพลาสติกรีไซเคิลเพื่อรักษาคุณภาพผลิตภัณฑ์และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์

“ทั่วโลกเขาทำกันหมดแล้ว เทคโนโลยีมีพร้อม สิ่งที่ขาดคือนโยบายรัฐที่ต้องมีการบังคับใช้ (Mandate) เพื่อสร้างตลาดและห่วงโซ่อุปทานที่ชัดเจน เหมือนโมเดลความสำเร็จในบราซิลและสหรัฐอเมริกา” นายพิพัฒน์กล่าว

อุตฯ อ้อยและน้ำตาลไทย มุ่ง ‘Smart Value Chain’ ชูจุดแข็งพืชดูดซับคาร์บอน-ต่อยอดพลังงานสะอาด

มุ่งสู่ Zero Waste ด้วยนวัตกรรมและการจัดการ

นายสามารถ น้อยวัน ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กล่าวว่า อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลไทยเดินบนเส้นทางความยั่งยืนมาโดยตลอดด้วยแนวคิด Zero Waste โดยต้นอ้อยหนึ่งต้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ตั้งแต่การแปรรูปเป็นน้ำตาล ส่วนกากอ้อยที่เหลือยังนำไปผลิตไฟฟ้าและกากน้ำตาลไปผลิตเอทานอล และสุรา

ในภาพรวมไทยเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลเบอร์ 2 ของโลก แต่ในแง่ผลผลิตต่อไร่ยังเป็นรองคู่แข่งอย่างบราซิลและอินเดียซึ่งเป็นผู้ผลิตอันดับ 1 และ 2 ของโลกอยู่มากกว่า 3 เท่า ซึ่งเป็นโจทย์ที่ต้องพัฒนา

อย่างไรก็ดี ปัญหาของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลที่ยังน่าเป็นกังวลคือการรักษาความยั่งยืนของอุตสาหกรรมด้วยการส่งเสริมการตัดอ้อยสดและลดอ้อยไฟไหม้ โดยในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา มีปริมาณอ้อยเผากว่า 70-80% และลดลงต่ำกว่า 50% ในช่วง 5 ปีหลัง ด้วยกลไกการอุดหนุนจากภาครัฐ มีเพียงปีที่ผ่านมาลดลงมาเหลือ 14% ต่ำที่สุดในประวัติการณ์และตั้งเป้าให้เหลือ 10% ในปีนี้

โดยจุดเปลี่ยนสำคัญที่เกิดขึ้นคือการจัดการไร่อ้อยด้วยเทคโนโลยี เพื่อแก้ปัญหาการเผา โดยใช้ระบบ “Just in Time” และเครื่องจักรกลการเกษตรเข้ามาแทนที่แรงงานคน หรือพึ่งพาแรงงานให้น้อยที่สุดเพื่อให้สามารถตัดอ้อยสดและส่งเข้าโรงงานได้ทันที

“เราตั้งเป้าลดอ้อยเผาให้เหลือ 10% ในปีหน้า โดยมีมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและกฎหมายสนับสนุน แต่สิ่งที่เปลี่ยนยากที่สุดคือพฤติกรรม ซึ่งต้องอาศัยเวลาและการสร้างระบบ Contract Farming ระหว่างชาวอ้อยและโรงงานน้ำตาลที่เข้มแข็ง” นายสามารถกล่าว

นอกจากนี้ นายสามารถยังเสนอแนวคิดเรื่องเศรษฐศาสตร์ความยั่งยืน โดยมองว่าในอนาคตผู้บริโภคอาจต้องมีส่วนร่วมผ่านราคาที่สะท้อนต้นทุนสิ่งแวดล้อม (Green Premium) เพื่อให้อุตสาหกรรมสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาเงินอุดหนุนจากรัฐตลอดไป