ม.หอการค้าฯ หั่นจีดีพี ปี 68  เหลือ 1.9%  ชี้ น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้เสียหาย 4 หมื่นล้านบาท

ม.หอการค้าฯ หั่นจีดีพี ปี 68  เหลือ 1.9%  ชี้ น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้เสียหาย 4 หมื่นล้านบาท

หอการค้า หั่น GDP ปี 68 เหลือ 1.9% จากงบรัฐสะดุด–น้ำท่วมใต้ กระทบเศรษฐกิจ  เผยน้ำท่วมภาคใต้เสียหาย 4 หมื่นล้านบาท คาด ปี 69 โตชะลอ 1.6% ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง ภาษีสหรัฐฯ  หนี้ครัวเรือนสูง

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า  ได้ปรับประมาณการจีดีพีไทยปี 2568 ลดลงมาอยู่ที่ 1.9% จาก 2%  โดยสาเหตุหลักมาจากผลกระทบและความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้

โดยเฉพาะ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจการค้าใหญ่ของภาคใต้  ผลกระทบน้ำท่วมที่หาดใหญ่ จ.สงขลา จะมีมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาท (ช่วง 1 เดือน) ซึ่งกระทบต่อ GDP ให้ลดลงราว 0.22%

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยลบอื่น ๆ กดดัน เช่น จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ ที่คาดว่าจะลดลงเหลือ 32.8 ล้านคน จากเดิมคาดไว้ 33 ล้านคน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ อีกทั้งการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวที่ลดลง จากพฤติกรรมที่ประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น รวมถึงอุปสงค์ภาครัฐในช่วงไตรมาส 3  ที่ลดลงเกือบ 4% ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้ ส่งผลให้มีการปรับลด GDP ของปีนี้ลงเหลือ 1.9%

โดยเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยการส่งออกที่โต 11.1% และการลงทุนของภาครัฐ 6.4% แต่ถูกฉุดรั้งด้วยการอุปโภคภาครัฐที่หดตัวแรงในไตรมาสที่ 3 และผลกระทบจากน้ำท่วมภาคใต้ช่วงปลายปี

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า  ขณะทีปี 2569 ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว  1.6%  โดยปัจจัยบวกที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ได้แก่ 1.ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง คาดว่า จะมีนักท่องเที่ยวที่ที่ 35 ล้านคน และสร้างรายได้ 1.65 ล้านล้านบาท

 2. อุปสงค์ในประเทศขยายตัว การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุน คาดว่า จะขยายตัวที่ 2%

3. งบลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น 18.2% โดยมีเป้าเบิกจ่ายงบลงทุนสูงถึง 70% ในงบประมาณรายจ่ายปี 2569 

4. ภาคเกษตรได้ประโยชน์จากสภาพอากาศมีความเป็นกลางและปริมาณน้ำเพียงพอ  

5. เม็ดเงินจากการเลือกตั้ง ที่คาดว่า จะอยู่ที่ 5-6 หมื่นล้านบาท

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ สงครามการค้าโลก ซึ่งเริ่มสะท้อนผ่านตัวเลขการส่งออกของประเทศอุตสาหกรรมใหญ่ ทั้งจีน ญี่ปุ่น และอินเดียที่ขยายตัว “ติดลบ” ประกอบกับตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เริ่มอ่อนแรงจากแรงกดดันด้านภาษีและมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ แม้ IMF จะมองว่าเศรษฐกิจโลกปีหน้าจะโตใกล้เคียงปีนี้ แต่สัญญาณด้านลบกำลังทยอยปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ

อีกประเด็นสำคัญคือ ความไม่ชัดเจนของการกำหนด Local Content สำหรับสินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะใช้เกณฑ์แบบอาเซียน (วัตถุดิบในภูมิภาคอย่างน้อย 40%) หรือใช้เกณฑ์เฉพาะของไทย รวมถึงสัดส่วนวัตถุดิบจากจีนที่สามารถอยู่ในสินค้าได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ภาคส่งออกปีหน้าอาจเติบโตในระดับ “0%” ต่างจากปีนี้ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินว่าการส่งออกจะขยายตัวได้ราว 11%

สำหรับปัจจัยทางการเมือง ที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่เกิดขึ้นในปี 69 นั้น มองว่าอาจเป็น “ดาบสองคม” ต่อเศรษฐกิจได้ โดยในช่วงไตรมาส 1 ของปี 69 เศรษฐกิจไทยจะได้แรงหนุนจากเม็ดเงินหมุนเวียนในช่วงเลือกตั้งราว 5-6 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ไตรมาสสุดท้าย อาจจะเสี่ยงต่อภาวะการเกิดสุญญากาศงบประมาณได้ จากความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 70 ที่จะเริ่มต้นในเดือนต.ค.-ธ.ค.69 ซึ่งหากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้า ก็จะส่งผลกระทบต่อ GDP ให้ลดลงได้ -0.32%

ส่วนสถานการณ์หนี้ครัวเรือน และปัญหาสภาพคล่องนั้น มองว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนปี 69 ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 84.2% ต่อ GDP ซึ่งแม้จะลดลงจากระดับ 86.4% ในปีนี้ แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับที่สูง ซึ่งจะกดดันให้สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ คาดการณ์สินเชื่อครัวเรือนทรงตัว ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการขยายตัวของการบริโภคและการลงทุนของ SMEs

นอกจากนี้สถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งมีความจำเป็นต้องปรับข้อมูลล่าสุดว่า “มีการปิดด่านตลอดทั้งปี” ส่งผลให้การค้าชายแดนซึ่งมีมูลค่าหมุนเวียนกว่า 10,000 ล้านบาทต่อเดือน หรือราว 120,000 ล้านบาทต่อปี ชะงักงัน กระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจพื้นที่และภาพรวมประเทศ การปิดด่านยาวนานอาจทำให้จีดีพีไทยสูญเสียการเติบโตประมาณ 0.5% ต่อทุก 100,000 ล้านบาทที่หายไป ซึ่งหมายความว่าหากสถานการณ์ยืดเยื้อ เศรษฐกิจไทยปีหน้ามีความเสี่ยงสูงที่จะขยายตัว “ต่ำกว่า 2%” ได้ง่าย

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า  สำหรับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายเดือนพ.ย.68 ได้ส่งผลกระทบกับประชาชนมากกว่า 2 ล้านคน รวมเกือบ 8 แสนครัวเรือน โดย 3 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบสูง คือ สงขลา, นครศรีธรรมราช และพัทลุง ทั้งนี้ ได้ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ โดยเฉพาะที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พบว่า จ.สงขลา (หาดใหญ่) ถือว่ามีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในภาคใต้ โดยมีขนาดผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) หรือมูลค่าทางเศรษฐกิจของจังหวัด อยู่ที่ 2.51 แสนล้านบาทต่อปี สูงสุดในภาคใต้ ซึ่งความเสียหายจากน้ำท่วมในครั้งนี้ 60% เกิดขึ้นที่ จ.สงขลา

ทั้งนี้ ประเมินว่าหากความเสียหายจากน้ำท่วมกินระยะเวลาประมาณ 1 เดือน จะคิดเป็นความเสียหายรายวันสูงถึง 1,000-1,500 ล้านบาทในช่วงที่สถานการณ์น้ำท่วมรุนแรง การฟื้นฟูและการกลับมาเปิดธุรกิจต้องเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่สามารถกลับสู่ภาวะปกติได้ในทันที คาดว่าจะทำให้มีมูลค่าความเสียหายต่อเศรษฐกิจรวมประมาณ 40,000 ล้านบาท แยกเป็น ความเสียหายต่อภาคท่องเที่ยวและบริการ 22,400 ล้านบาท, ภาคเกษตรกรรม 10,720 ล้านบาท และภาคการผลิตและสาธารณูปโภค 6,840 ล้านบาท

สำหรับสิ่งที่ผู้ประกอบการในพื้นที่ต้องการรับความช่วยเหลือจากภาครัฐเร่งด่วนที่สุด อันดับแรก 56.5% บอกว่าเป็นเรื่องเงินเยียวยาโดยตรง/เงินชดเชย อันดับสอง 14.7% บอกว่าเป็นเรื่องการซ่อมแซมสาธารณูปโภค และอันดับสาม 10.6% บอกว่าเป็นเรื่องของการช่วยทำความสะอาดพื้นที่ พร้อมระบุว่า ในภาวะที่ผู้ประกอบการขาดรายได้ และอนาคตที่ยังไม่แน่นอนนี้ บรรดาผู้ประกอบการไม่ต้องการเพิ่มภาระหนี้สิน แต่ต้องการกระแสเงินสดทันที เพื่อประคองตัว