ครม. เคาะมาตรการอัดฉีดสินเชื่อ-ค้ำประกัน-ภาษี รวม 3.27 แสนล้าน อุ้ม SME

ครม. ไฟเขียวมาตรการใหญ่ “Quick Big Win” อุ้ม SME สั่ง 7 แบงก์รัฐ เติมเงินด่วน-ค้ำประกันสินเชื่อ และมาตรการภาษี วงเงินรวม 3.27 แสนล้าน ออกมาตรการภาษีป้องกันสินค้านอกตีตลาด คาดดันจีดีพีปี 69 โตเพิ่ม 0.36%
วันที่ 2 ธ.ค.2568 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SMEs ไทย เพื่อเร่งแก้ปัญหาการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน และสินเชื่อที่หดตัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ที่เกิดขึ้นตั้งแต่กลางเดือนพ.ย. ที่ผ่านมา
โดยมาตรการนี้ยึดหลัก “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” เพื่อสร้าง Ecosystem ใหม่ให้ SMEs กลับมาเข้มแข็ง โดยแบ่งมาตรการออกเป็น 3 ด้านหลัก ดังนี้
มาตรการการเงิน อัดฉีด-ค้ำประกัน 2.67 แสนล้าน
นายเอกนิติ กล่าวว่า มาตรการด้านการเงินจะดำเนินการผ่าน 7 สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ในการปล่อยสินเชื่อ และค้ำประกัน เพื่อเสริมสภาพคล่องเร่งด่วน ประกอบด้วย
1. บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันวงเงิน 50,000 ล้านบาท ฟรีค่าธรรมเนียม 3 ปีแรก ผ่าน 3 โครงการย่อย ครอบคลุมทั้ง SMEs ทั่วไป รายย่อย (Micro) และกลุ่มรับเหมา/จัดซื้อภาครัฐ รับคำขอถึง 30 ธ.ค.69
นอกจากนี้ ได้ขยายระยะเวลาโครงการ PGS 11 ที่ยังคงมีวงเงินเหลืออยู่จากเดิมที่จะสิ้นสุดระยะเวลารับคำขอในวันที่ 30 ธ.ค.68 ขยายเป็น 30 ธ.ค.69
2.ธนาคารออมสิน ดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) วงเงิน 100,000 ล้านบาท เน้นความช่วยเหลือ 4 กลุ่ม ได้แก่
(1) โครงการสินเชื่อกรณีเสริมสภาพคล่อง (Mitigation) ซึ่งผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยสามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ โดยสามารถยื่นขอสินเชื่อได้จนถึงวันที่ 30 ก.ย.69)
(2) โครงการสินเชื่อกรณีสร้างพลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย (Reinvent Thailand) ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับภาคเอกชน โดยให้ภาคเอกชน ประกอบด้วย สมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขของการขอสินเชื่อ และประเภทธุรกิจเพื่อผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมายใน Reinvent Thailand
(3) โครงการสินเชื่อกรณีปรับตัวเพื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจ (Transformation)
และ (4) โครงการสินเชื่อกรณีพัฒนาศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยว (Tourism) โดยโครงการ Reinvent Thailand โครงการ Transformation และโครงการ Tourism สามารถรับคำขอสินเชื่อได้จนถึงวันที่ 31 มี.ค.2570
3. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เตรียมสินเชื่อวงเงิน 80,000 ล้านบาท ช่วยเกษตรกรและ SMEs เกษตร ผ่านโครงการ "ไทยยั่งยืน" วงเงิน 50,000 ล้านบาท และ "SME ไทยไชโย" วงเงิน 30,000 ล้านบาท รับคำขอถึง 31 ก.ค.71
4. ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) ปรับเกณฑ์โครงการสินเชื่อวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท เพื่อให้ครอบคลุมการปล่อยกู้ Micro SME ไม่เกิน 1 ล้าน และ SMEs ทั่วไป ไม่เกินรายละ 30 ล้าน ขยายเวลารับคำขอสินเชื่อถึง 30 ธ.ค.69
5. ธนาคารเพื่อการส่งออก และนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) เสริมสภาพคล่อง และประกันการส่งออก วงเงิน 12,000 ล้านบาท
6. ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) สนับสนุนเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการผลิตหรือจำหน่ายสินค้าฮาลาลส่งออก หรือผู้ผลิตที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานผลิตภัณฑ์ฮาลาล และธุรกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม วงเงิน 3,000 ล้านบาท
7.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) วงเงินรวม 2,000 ล้านบาท สำหรับการปลูกสร้าง ซื้อ ซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้าง หรือต่อเติม ปรับปรุงซ่อมแซม รวมทั้งสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ และบ้านจัดสรรในภูมิภาค
มาตรการภาษี สร้างความเป็นธรรม และคืนสภาพคล่อง
นายเอกนิติ กล่าวว่า ขณะเดียวกัน ครม.ได้มีการอนุมัติมาตรการทางภาษีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และการแข่งขันที่เป็นธรรมให้กับ SME ภายในประเทศ โดยกรมศุลกากร ยกเลิกการยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้ามูลค่าต่ำ (De Minimis Value) เพื่อให้ SMEs ไทยแข่งขันกับสินค้านำเข้าต่างประเทศได้อย่างเป็นธรรม
นอกจากนี้ ให้กรมสรรพากรดำเนินการเร่งคืนภาษีนิติบุคคลให้ SMEs กว่า 20,000 ราย วงเงิน 60,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 68 และโครงการพี่ช่วยน้อง ดึงผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ช่วยสนับสนุนรายย่อยใน Supply Chain ของตนเอง เพื่อช่วยให้รายเล็กเข้าระบบดิจิทัลเพื่อขอคืนภาษี และกู้เงินได้ง่ายขึ้น คาดว่ามีผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 1,500 ราย เข้าร่วมโครงการ และคาดว่าจะได้รับคืนภาษีเร็วขึ้น 1,700 ล้านบาทต่อปี
นายเอกนิติ กล่าวว่า โดยในอนาคตจะมีการพิจารณาเชื่อมโยงระบบ PromptBizกับการให้สินเชื่อ Supply chain financing ซึ่งจะทำให้ SMEs ใน Supply chain มีโอกาสได้รับสินเชื่อมากยิ่งขึ้น
มาตรการเพิ่มโอกาส การค้าภาครัฐ-อีคอมเมิร์ซ
นอกจากนี้ ยังมีกลไกหนุนแต้มต่อจัดซื้อภาครัฐ โดยกรมบัญชีกลางให้แต้มต่อด้านราคาเพิ่มอีก 5% สำหรับ SMEs ที่รับรองโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และใช้ระบบ e-Tax Invoice พร้อมปล่อยสินเชื่อคู่ค้าภาครัฐผ่านระบบ PromptBiz
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์เร่งศึกษาจัดตั้ง National E-commerce Platform ของคนไทยเอง เพื่อลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติ และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการค้าหรือให้บริการผ่านช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายเอกนิติ ทิ้งท้ายว่า มาตรการทั้งหมดนี้จะช่วยให้ SMEs เข้าถึงสินเชื่อเพิ่มขึ้น 107,000 ราย เติมเม็ดเงินเข้าระบบ 2.7 แสนล้านบาท และส่งผลให้ GDP ปี 2569 ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 0.36% ซึ่งจะช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







