กระเทียมดำ เพิ่มมูลค่า15 เท่า เกษตรกรยิ้มได้รายได้พุ่ง

กระเทียมดำ เพิ่มมูลค่า15 เท่า เกษตรกรยิ้มได้รายได้พุ่ง

ARDA จับมือราชภัฏศรีสะเกษ เปิดตัวโมเดล “กระเทียมดำศรีสะเกษ” ยกระดับกระเทียมพื้นบ้านไทยสู่ผลิตภัณฑ์สุขภาพระดับพรีเมียม จากราคา 60–80 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 2,000–3,000 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มมูลค่ามากกว่า 15 เท่า สร้างรายได้ให้เกษตรกรสูงสุดถึง 340,000 บาทต่อไร่

ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร เปิดเผยว่า จากข้อมูลของของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรพบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกกระเทียมในพื้นที่ 50,346 ไร่ จังหวัดศรีสะเกษแม้จะเป็นแหล่งผลิตกระเทียมที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่เกษตรกรกลับต้องเจอปัญหาราคาตกต่อเนื่องหลายปี ส่งผลให้เกษตรกรปลูกกระเทียมลดลงจากปี 2560 มีการเพาะปลูก 25,682 ครัวเรือน ปัจจุบันลดลงเหลือ 13,901 ครัวเรือน ด้วยเหตุนี้ ARDA จึงสนับสนุนทุนวิจัย เพื่อพัฒนาโครงการ “การถ่ายทอดองค์ความรู้ห่วงโซ่การแปรรูปและการยกระดับเกษตรมูลค่าสูง เพื่อเพิ่มมูลค่ากระเทียมจังหวัดศรีสะเกษสู่ผลิตภัณฑ์กระเทียมดำศรีสะเกษ” โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์

กระเทียมดำ เพิ่มมูลค่า15 เท่า เกษตรกรยิ้มได้รายได้พุ่ง กระเทียมดำ เพิ่มมูลค่า15 เท่า เกษตรกรยิ้มได้รายได้พุ่ง

กระเทียมดำ เพิ่มมูลค่า15 เท่า เกษตรกรยิ้มได้รายได้พุ่ง

ดร.จิรนันต์ รัตสีวอ คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ เป็นหัวหน้าโครงการ เพื่อยกระดับกระเทียมพื้นบ้านสู่ “กระเทียมดำไทยสายพันธุ์แรก” ที่พร้อมก้าวเข้าสู่มาตรฐานสากลและพร้อมแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะในญี่ปุ่น จีน และยุโรป ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จิรนันต์ รัตสีวอ หัวหน้าโครงการวิจัยฯ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปีคณะวิจัยได้จัดทำแปลงสาธิตต้นแบบจำนวน 13 แปลง และถ่ายทอดองค์ความรู้ให้เกษตรกรกว่า 50 ราย ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการผลิตกระเทียมตามมาตรฐาน GAP และ GI ไปจนถึงการแปรรูปเป็น “กระเทียมดำ” ด้วยเครื่องบ่มอุณหภูมิ 60–90 °C และความชื้นสัมพัทธ์ร้อยละ 80-85 ภายใต้หลักการเกิด ปฏิกิริยาเมลลาร์ด (Maillard Reaction) ที่ทำให้กลีบกระเทียมเปลี่ยนเป็นสีดำ รสหวานนุ่ม ไม่มีกลิ่นฉุน และเก็บได้นานกว่า 12 เดือน

กระเทียมดำ เพิ่มมูลค่า15 เท่า เกษตรกรยิ้มได้รายได้พุ่ง กระเทียมดำ เพิ่มมูลค่า15 เท่า เกษตรกรยิ้มได้รายได้พุ่ง

พร้อมยังอุดมไปด้วยสารสำคัญทางชีวภาพ เช่น S-allylcysteine (SAC) สารฟีนอลิกและสารฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง โดยงานวิจัยพบว่า “กระเทียมดำศรีสะเกษ” มีปริมาณ SAC 0.485 มก./กรัม (แบบโทน) และ 0.399 มก./กรัม (แบบกลีบ) อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งเป็นดัชนีสำคัญของอาหารสุขภาพระดับพรีเมียม

นอกจากนี้ทางโครงการยังได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการตรวจสอบคุณภาพ การวางแผนธุรกิจ การสร้างช่องทางจำหน่ายออนไลน์ และการจำหน่ายสินค้า Functional Food ซึ่งโครงการนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิตและรายได้เกษตรกรมากกว่าร้อยละ 20 แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง “ระบบเกษตรสุขภาพ” ที่ยั่งยืน ลดการใช้สารเคมีในการปลูกและเปิดโอกาสให้ผลผลิตไทยเข้าสู่ตลาด Functional Food ระดับโลก

 

 

คุณวิลาวัณย์ แก้วคำ ประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มออมทรัพย์พัฒนาสตรี หมู่ 6  กล่าวว่า เดิมปลูกกระเทียมมานานกว่า 30 ปี บนพื้นที่ 2 ไร่ ต้องเผชิญกับปัญหาสภาพอากาศที่แปรปรวน และขาดองค์ความรู้ด้านการปลูกแบบถูกวิธี ทำให้ผลผลิตค่อนข้างน้อย เก็บได้เพียง 300 กิโลกรัมต่อไร่ ขายได้เพียง 24,000 บาทต่อปี หักต้นทุน10,000 บาทแล้วแทบไม่เหลืออะไร จึงรวมกลุ่มกับชาวบ้านก่อตั้ง “วิสาหกิจชุมชนกลุ่มออมทรัพย์พัฒนาสตรีบ้านเมืองแสน หมู่ 6” มีสมาชิก 13 คน พื้นที่ปลูกรวม 10 ไร่ และได้เข้าร่วมโครงการวิจัยของ ARDA

กระเทียมดำ เพิ่มมูลค่า15 เท่า เกษตรกรยิ้มได้รายได้พุ่ง กระเทียมดำ เพิ่มมูลค่า15 เท่า เกษตรกรยิ้มได้รายได้พุ่ง

“โครงการนี้ช่วยให้เกษตรกรสามารถผลิตกระเทียมคุณภาพดี หัวใหญ่ขึ้น กระเทียมสดขายได้ถึง 180–200 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมเพียง 80 บาทต่อกิโลกรัม และที่สำคัญเมื่อนำมาแปรรูปเป็น ‘กระเทียมดำ’ ราคาขายสูงถึง2,000-3,000 บาทต่อกิโลกรัม โดยในปี 2567 ที่ผ่านมากลุ่มของเราสามารถแปรรูปกระเทียมสดรวมกันกว่า 1,500 กิโลกรัม สร้างรายได้รวมกว่า 900,000 บาท ต้องขอขอบคุณ ARDA และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษที่เข้ามาช่วยสนับสนุน ทำให้เกษตรกรอย่างพวกเรามีโอกาสพัฒนาคุณภาพผลผลิต สร้างอาชีพที่มั่นคง และเพิ่มรายได้ให้ชุมชนได้จริง”

ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล ผอ. ARDA กล่าวปิดท้ายว่า ความสำเร็จของโมเดล “กระเทียมดำศรีสะเกษ” ตอกย้ำบทบาทของ ARDA ในการใช้งานวิจัยและนวัตกรรม ขับเคลื่อนเกษตรมูลค่าสูง สร้างรายได้มั่นคงให้เกษตรกรไทย โดยในอนาคตเตรียมต่อยอดองค์ความรู้จากโมเดลนี้ไปสู่พืชเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ประสบปัญหาราคาตก เช่น หอมแดง ข้าว และผลไม้พื้นถิ่น เพื่อแปรรูปสู่ผลิตภัณฑ์สุขภาพและสินค้านวัตกรรมมูลค่าสูง และ เพื่อก้าวสู่ระบบเกษตรสุขภาพที่ยั่งยืน ลดการใช้สารเคมีและเปิดโอกาสให้ผลผลิตไทยแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมั่นใจ

สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักส่งเสริมการใช้ประโยชน์และพัฒนาธุรกิจสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) เบอร์โทร. 02 579 7435 ต่อ 3311